'หมอยง' จับตาโควิด XBB.1.5 เผยติดง่าย ดื้อวัคซีนสุด หลังเปิดประเทศ เผยยากที่จะป้องกันไม่ให้ระบาด ด้านศูนย์จีโนมฯชี้แต่ละประเทศมีโอไมครอนย่อยที่ป็นสายพันธุ์หลักแตกต่างกัน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 21 ม.ค. 2566 นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan กล่าวถึง โควิด -19 สายพันธุ์ XBB.1.5 ว่า สายพันธุ์ ไวรัสโควิด-19 XBB.1.5 เป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้ง่ายมาก ขณะนี้เป็นสายพันธุ์หลักในอเมริกา สายพันธุ์นี้ติดต่อได้ง่าย มีอำนาจในการแพร่กระจายสูง และหลบหลีกภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีนได้มากที่สุด
หรือกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะฉีดวัคซีนแล้วหรือเคยเป็นโควิดมาแล้ว โอกาสที่จะเป็นซ้ำด้วยสายพันธุ์นี้จึงมีสูงกว่าสายพันธุ์อื่นทำให้แพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ความรุนแรงของโรคไม่ได้เพิ่มขึ้น
ประเทศไทยสายพันธุ์หลักยังเป็น BA.2.75 ณ วันนี้ ดังแสดงในรูป ผลงานที่ศูนย์
เรามีการเปิดประเทศเดินทางไปมา จึงเป็นการยากที่จะป้องกันสายพันธุ์ XBB.1.5 ไม่ให้มาระบาดในประเทศไทย และจะทำให้การติดเชื้อเพิ่มขึ้น
ทางศูนย์แยกสายพันธุ์ XBB.1.5 ได้จากหญิงไทยที่เดินทางกลับจากอเมริกาเมื่อหลังปีใหม่ เมื่อมาถึงก็ป่วยทางเดินหายใจอักเสบ ไอ เจ็บคอ ตรวจ ATK เองได้ผลลบ จึงมาโรงพยาบาล ผลการตรวจ real time RT-PCR ตรวจพบไวรัสมีปริมาณค่อนข้างสูง Ct = 14 จึงได้ทำการถอดรหัสสายพันธุ์พบเป็น XBB.1.15 ดังแสดงในรูป
เราเดินทางไปมาข้ามประเทศเป็นจำนวนมาก คงจะหนีไม่พ้นในการระบาดของสายพันธุ์ต่อไปที่เป็น XBB.1.5
ผู้ที่เดินทางมาจาก อเมริกาและยุโรป ถ้าป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ จะต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตน เพื่อลดการแพร่กระจายของสายพันธุ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะจะทำให้เกิดการระบาดเพิ่มขึ้น
โดยในวันเดียวกันนี้ ทางด้าน ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า
โอไมครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่ได้เกิดระบาดแพร่กระจายไปทั่วโลกตั้งแต่ปลายปี 2565 โดยขณะนี้ (เดือนมกราคม 2566) ในแต่ละประเทศมีโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยที่ระบาดเป็นสายพันธุ์หลักแตกต่างกัน
1. ล่าสุดประเทศจีนได้ร่วมแชร์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019 ที่ระบาดในประเทศในช่วงเดือนมกราคม 2566 โดยอัปโหลดขึ้นไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” จำนวน 531 ตัวอย่าง พบโอไมครอน BA.5.2 มีส่วนแบ่งการระบาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 74% คาดว่าจะเข้ามาแทนที่ BF.7 ซึ่งมีส่วนแบ่งการระบาดลดลงเหลือร้อยละ 23% ส่วนใหญ่พบการติดเชื้อ BF.7 ในภาคเหนือ ในขณะที่พบ BA.5.2 พบระบาดในทางตอนใต้ของประเทศ
2. ประเทศสหรัฐอเมริกา สายพันธุ์หลักคือ XBB.1.5 ร้อยละ 49.1% ตามมาด้วย BQ.1.1 ร้อยละ 26.9%
3. ประเทศไทย สายพันธุ์หลักคือ BN.1.3 ร้อยละ 45% ตามมาด้วย BN.1.2 ร้อยละ 16% คาดว่าได้เข้ามาแทนที่ BA.2.75 เป็นที่เรียบร้อยเพราะพบ BA.2.75 เพียง 2 รายในช่วง 1เดือน ที่ผ่านมา
4. ประเทศฟิลิปปินส์ สายพันธุ์หลักคือ BA.2.3.20
5. ประเทศนิวซีแลนด์ สายพันธุ์หลักคือ CH.1.1
6. ประเทศรัสเซีย สายพันธุ์หลักคือ CL.1 4
7. ประเทศออสเตรเลีย สายพันธุ์หลักคือ XBF และ BR.2.1
8. ประเทศอินเดีย สายพันธุ์หลักคือ XBB
9. ประเทศเกาหลีใต้ สายพันธุ์หลักคือ BN.1.3
10. ประเทศญี่ปุ่น สายพันธุ์หลักคือ BF.5
ทำให้เห็นถึงความจำเป็นที่ทุกประเทศต้องร่วมด้วยช่วยกันสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโควิด-19 ทั้งจีโนมอย่างต่อเนื่อง(Genomic surveillance) เพื่อตรวจหาและติดตามการแพร่กระจายของโรคโควิดในกลุ่มประชากรของแต่ละประเทศ
โดยศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี ได้รวมการถอดรหัสพันธุกรรม 25,000 ยีนมนุษย์ของผู้ติดเชื้อ (whole exome sequencing) ในกลุ่มสีเขียว เหลือง แดง และลองโควิด ร่วมด้วย เป้าหมายคือสามารถบ่งชี้และตอบสนองต่อภัยคุกคามด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วชั่วข้ามคืน เช่น เกิดโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีทั้งจากวัคซีน และการติดเชื้อตามธรรมชาติ ไวรัสโควิดสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาฉีดแอนติบอดีเสริมภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป สายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาต้านไวรัส ยีนมนุษย์ของผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ (ตลอดสามปีที่ผ่าน) กลุ่มผู้ติดเชื้อในทุกครั้งมีการระบาดของโควิดระลอกใหม่ กลุ่มผู้ติดเชื้อโควิดที่มีอาการรุนแรงต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และเสียชีวิต และกลุ่มผู้ติดเชื้อที่มีอาการลองโควิดเพื่อหาทางลดผลกระทบของโรคโควิดต่อสุขภาพของประชากรไทย