ครม.เห็นชอบให้ ‘กรมชลประทาน’ ดำเนินโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ‘น้ำกิ’ จ.น่าน วงเงิน 6.2 พันล้าน ใช้เวลาก่อสร้าง 7 ปี คาดเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ 3.5 หมื่นไร่
....................................
เมื่อวันที่ 17 ม.ค. น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำ ‘น้ำกิ’ จ.น่าน วงเงิน 6,200 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 7 ปี (ปีงบ 2567-2573) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกักเก็บน้ำเพื่อใช้เพาะปลูกและใช้อุปโภคบริโภคของประชาชนในฤดูแล้ง บรรเทาปัญหาอุทกภัยในฤดูฝน รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวและขยายพันธุ์ปลาน้ำจืด
สำหรับโครงการอ่างเก็บน้ำ ‘น้ำกิ’ จ.น่าน เป็นการก่อสร้างเขื่อนชนิดหินถมแกนดินเหนียวความจุ 52.31 ล้านลูกบาศก์เมตร ความยาวเขื่อน 845 เมตร ความสูงเขื่อน 81.5 เมตร ความกว้างสันเขื่อน 12 เมตร พร้อมอาคารประกอบ และระบบชลประทานแบบท่อส่งน้ำและคลองส่งน้ำคอนกรีต ความยาวรวม 88.13 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านวังผา หมู่ที่ 2 ต.ผาทอง อ.ท่าวังผา จ.น่าน มีพื้นที่ 1,733 ไร่ 84 ตารางวา
ขณะที่พื้นที่โครงการดังกล่าว ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติน้ำยาวและป่าน้ำสวด ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มีมติเห็นชอบให้กรมชลประทานใช้พื้นที่ดังกล่าวแล้ว และกรมชลประทานได้ดำเนินการรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ พร้อมเสนอรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเรียบร้อยแล้ว
สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้ จะทำให้มีพื้นที่ชลประทานเกิดขึ้นจำนวน 35,558 ไร่ ครอบคลุม 8 ตำบล ของ จ.น่าน ได้แก่ ต.ผาทอง ต.ผาตอ ต.ป่าคา ต.แสนทอง ต.ศรีภูมิ ต.ริม ต.ตาลชุม และเทศบาลตำบลท่าวังผา และมีประชาชนได้รับประโยชน์ 6,305 ครัวเรือน
น.ส.รัชดา ระบุว่า โครงการอ่างเก็บน้ำ ‘น้ำกิ’ จ.น่าน มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และกรมชลประทานได้ออกแบบท่อส่งน้ำและอาคารโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไว้ด้วยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เพื่อประโยชน์สาธารณะและประชาชนโดยรอบ ที่ประชุม ครม. เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บูรณาการร่วมกับกระทรวงพลังงาน ,การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ หรือพลังแสงอาทิตย์ของโครงการฯ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดของโครงการเป็นสำคัญ
น.ส.รัชดา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม.ยังมีมติอนุมัติร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลลำพะยา อำเภอเมืองยะลาจังหวัดยะลา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เพื่อก่อสร้างอ่างเก็บน้ำตามโครงการอ่างเก็บน้ำลำพะยาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถทำการเพาะปลูกได้ตลอดปี มีแหล่งน้ำอุปโภคบริโภค และช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่
ทั้งนี้ กรมชลประทานได้วางแผนก่อสร้างโครงการดังกล่าว โดยใช้พื้นที่ประมาณ 450 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,527 ไร่ มีค่าทดแทนทรัพย์สินทั้งโครงการ จำนวน 475.48 ล้านบาท และใช้จ่ายเงินจากเงินงบประมาณประจำปีตลอดระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – 2567)
สำหรับร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว มีสาระสำคัญ เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ ตำบลลำพะยา อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ในการก่อสร้างทำนบดิน อาคารหัวงาน และอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น ตามโครงการอ่างเก็บน้ำลำพะยาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีกำหนดเวลาใช้บังคับ 3 ปี โดยให้เจ้าหน้าที่เริ่มต้นเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืน ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่จะเวนคืนที่แน่ชัด
น.ส.รัชดา ยังระบุว่า เมื่อโครงการอ่างเก็บน้ำลำพะยาอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้วเสร็จ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ เพื่อใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง ประมาณ 8,100 ไร่ และเป็นแหล่งน้ำใช้อุปโภคบริโภคในฤดูแล้งของประชาชนในพื้นที่ และประชาชนบริเวณใกล้เคียงที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ ประมาณ 690 ครัวเรือน หรือประมาณ 3,450 คน รวมทั้งช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยบริเวณพื้นที่เพาะปลูกในช่วงฤดูน้ำหลาก