สถาบันวิจัยสังคมจุฬาฯ เผยผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนศ. ป.ตรี ทั่วประเทศ พบป่วยไบโพลาร์ 40% คิดฆ่าตัวตาย 4% โดยร่วมมือกับอว.-สสส.จัดประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างมหาวิทยาลัย 15 แห่งเพื่อแก้ปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2565 ที่โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพฯ ดร.ลัทธจิตร มีรักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวเปิดการประชุมแนวทางการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสุขภาวะในประเทศไทยว่า ข้อมูลโรคซึมเศร้าจากองค์การอนามัยโลกช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 พบคนทั่วโลกเป็นโรคซึมเศร้า 300 ล้านคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีสถิติการฆ่าตัวตายต่อประชากร 1 แสนคน สูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากยุโรป
ไทยสูญเสียจากการฆ่าตัวตายเฉลี่ย 6 คนต่อประชากร 1 แสนคน โดยวิกฤตโควิดยิ่งทำให้มีแนวโน้มความเครียดสะสมสูงขึ้น อว. สานพลัง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการประชุมครั้งนี้เพื่อเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างมหาวิทยาลัย 15 แห่ง ประกอบด้วยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีขับเคลื่อนการส่งเสริมสุขภาวะที่ดีตามบริบทมหาวิทยาลัยอย่างเป็นรูปธรรม ช่วยบรรเทาปัญหาด้านสุขภาพจิตในกลุ่มเสี่ยง
นายพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สสส. กล่าวว่า สสส. ให้ความสำคัญต่อการสร้างองค์กรสุขภาวะ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะในวัยเรียนระดับมหาวิทยาลัย ที่กำลังจะเข้าสู่วัยทำงาน หากขาดการจัดการความสมดุลระหว่างชีวิตประจำวันและการเรียน มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ สาเหตุนำไปสู่ความเครียดสะสม ซึมเศร้า หากไม่ได้รับการฟื้นฟูจิตใจที่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว เสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องเร่งสานพลังความร่วมมือขับเคลื่อน 2 แนวทาง
1.ระบบฐานข้อมูลสถานการณ์ด้านสุขภาพของนิสิต นักศึกษาในไทย
2.แนวทางเฝ้าระวังหรือป้องกันแบบเชิงรุก พัฒนานวัตกรรมกลไกเพื่อนช่วยเพื่อน (Health-me Buddy) ที่ผ่านการอบรมจากผู้เชี่ยวชาญด้านร่างกายและจิตวิทยา
มุ่งผลักดันนโยบายสุขภาวะในระดับอุดมศึกษาไทยให้เกิดเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การเป็นสถานศึกษาต้นแบบองค์กรสุขภาวะ
ดร.ศิริเชษฐ์ สังขะมาน ที่ปรึกษาโครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยสังคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University Social Research Institute หรือ CUSRI) สนับสนุนโดย สสส. กล่าวว่า ผลสำรวจ 7 พฤติกรรมสุขภาพของนิสิต นักศึกษาระดับปริญญาตรี 9,050 คน จากมหาวิทยาลัย 15 แห่งทั่วประเทศ พบว่ามีพฤติกรรมดังนี้
1. พฤติกรรมเนือยนิ่งและการบริโภคอาหารไม่เหมาะสม 1 ใน 4 คน เผชิญกับภาวะผอมและมีน้ำหนักเกินเกณฑ์
2. พฤติกรรมการใช้ยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบสูบบุหรี่ภายในมหาวิทยาลัย 40% ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยครั้ง 9% ขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมา 15%
3. พฤติกรรมทางเพศ 1 ใน 4 ใช้ถุงยางอนามัย 46.6% ไม่ป้องกัน 5%
4. ภาระทางการเงิน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ 40% มีภาระหนี้สินค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าที่พักอาศัย
5. ความรุนแรงและการล่วงละเมิด พบนักศึกษาที่เคยโดนทำร้ายจิตใจ 10% อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีสัดส่วนสูงสุด
6. ปัจจัยที่มีผลต่อการเรียน พบความเครียดสูงสุดถึง ร้อยละ 20% รองลงมาคือ ปัญหาทางการเงิน 11.5% ความรู้สึกวิตกกังวล 10.7% คิดถึงบ้าน 9.3% ปัญหาการนอนหลับ 7.9% ไม่มีสมาธิ ร้อยละ 7.7% เสพติดสื่อสังคมออนไลน์และเกม 5%
7. ประเด็นสุขภาพจิต รู้สึกซึมเศร้าบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา 30% ในจำนวนนี้เป็นโรคไบโพลาร์ 40% โรคซึมเศร้า 4.3% คิดฆ่าตัวตายบ่อยครั้ง 4% ลงมือทำร้ายร่างกายแล้ว 12% ลงมือทำร้ายร่างกายตนเองบ่อยครั้งถึงตลอดเวลาถึง 1.3%
ดร.ศิริเชษฐ์ กล่าวต่อว่า พฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องความรุนแรงและการล่วงละเมิด ปัจจัยที่มีผลต่อการเรียน และประเด็นสุขภาพจิตที่มีนักศึกษาเป็นโรคซึมเศร้า ไบโพลาร์ และคิดฆ่าตัวตาย