‘ธปท.’ เดินหน้าผลักดัน ‘นวัตกรรมที่มีความรับผิดชอบ’ ในภาคการเงิน หวังแก้ 4 โจทย์ท้าทาย ‘ผลิตภาพการผลิตต่ำ-ขาดภูมิคุ้มกัน-ละเลยการเติบโตอย่างยั่งยืน-ความเหลื่อมล้ำฯ’
....................................
เมื่อวันที่ 27 ต.ค. นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเปิดงาน BOT Digital Finance Conference 2022 ‘Unlocking Opportunities for Thailand with Responsible Financial Innovations’ โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทาย 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การเติบโตทางเศรษฐกิจและผลิตภาพการผลิต (economic growth and productivity) ที่ต่ำ รวมทั้งการขาดความสามารถในการแข่งขัน
2.การขาดภูมิคุ้มกัน (resiliency) ที่เพียงพอในการรับมือกับความผันผวนต่าง ๆ ในโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงินไทย 3.การละเลยความสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเห็นได้ชัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และ 4.ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ
“ในอดีต ธปท. และผู้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเน้นแก้โจทย์ข้อแรกเป็นหลัก แต่ปัจจุบันจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบด้าน (holistic) โดยครอบคลุมอีก 3 ด้านที่เหลือมากขึ้น เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมา “นวัตกรรม” เหมือนจะเป็นคำตอบสำคัญที่ภาคส่วนต่างๆ เห็นว่าจะเป็นพลังสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวผ่านความท้าทายข้างต้น โดยเฉพาะการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ
แต่แท้จริงแล้ว เราไม่ควรพิจารณา “นวัตกรรม” จากเฉพาะแง่มุมของการเป็นสิ่งใหม่ที่ดูจะมีศักยภาพเท่านั้น แต่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลความเสี่ยงที่อยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมด้วย หรือที่ ธปท. ขอเรียกว่า นวัตกรรมที่มีการดูแลความเสี่ยงบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม (responsible innovation)”นายเศรษฐพุฒิ ระบุ
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับ Responsible innovation ในมุมมองของ ธปท. ต้องมี 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1.สามารถเสริมสร้างศักยภาพและ productivity ของเศรษฐกิจได้จริง 2.ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงิน เช่น นวัตกรรมต้องไม่ทำเพื่อหวังเก็งกำไร สร้างกระแส หรือหลอกลวงประชาชน 3.คำนึงถึงมิติความยั่งยืน เช่น ไม่สร้างภาระหนี้จนเกินสมควรในระยะยาว
4.ช่วยสร้างความมั่งคั่งที่สังคมสามารถเข้าถึงและได้รับประโยชน์ร่วมกันได้อย่างทั่วถึง ไม่เหลื่อมล้ำ (shared prosperity) รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
นายเศรษฐพุฒิ ยังตัวอย่างของ responsible innovation เช่น 1.โครงการ PromptPay ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ของระบบการชำระเงิน เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งระดับประชาชนและกิจการขนาดใหญ่หรือเล็ก สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินและโอกาสทางธุรกิจได้อย่างเท่าเทียมและยั่งยืนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริม resiliency โดยเฉพาะในช่วง COVID-19
2.โครงการ mBridge เป็นการทดลอง Wholesale CBDC ร่วมกับธนาคารกลางอื่นหลายแห่ง เพื่อแก้ปัญหาความไม่มีประสิทธิภาพ (inefficiency) ของการโอนเงินระหว่างประเทศ ทำให้สามารถโอนเงินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยต้นทุนและความเสี่ยงด้านการชำระดุลที่ต่ำลง และ 3.การทำ tokenization ของสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือใบแจ้งหนี้ (invoice) แม้จะเป็นแนวคิดใหม่ แต่มีศักยภาพในการช่วยเพิ่มการเข้าถึงระบบการเงินซึ่งอาจเป็น game changer ต่อไป
ขณะเดียวกัน นวัตกรรมบางประเภทอาจยังต้องผ่านการพิสูจน์เพิ่มเติมให้มั่นใจว่า การนำเทคโนโลยีที่มีศักยภาพ (เช่น Distributed Ledger Technology) มาปรับใช้จะต้องมี use case ที่สามารถสร้างประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจจริง (real sector) ได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ และไม่สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมให้รุนแรงขึ้น
นายเศรษฐพุฒิ ย้ำว่า ธปท.จะให้ความสำคัญและสนับสนุนให้เกิด responsible innovation ในภาคการเงินไทย ขณะเดียวกัน ก็จะดูแลไม่ให้เกิดกรณีที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ ความเท่าเทียมกัน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินการ ได้แก่
1.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ที่ผ่านมา ธปท. ได้ผลักดันการวางระบบชำระเงินทั้งภายในและระหว่างประเทศ โครงการ CBDC การพิสูจน์และยืนยันตัวตนนิติบุคคล และการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนและการใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และทุกภาคส่วนเข้าถึงได้ (open data)
2.การสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมโดยภาคเอกชน โดยการปรับปรุงเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (regulatory impact assessment) และอนุญาตการทดลองนวัตกรรมผ่าน regulatory sandbox ของ ธปท. ให้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้นและไม่เป็นอุปสรรค รวมทั้งมีการวางราวกั้น (guardrail) ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป เช่น การยกเลิกข้อจำกัดในการลงทุนในธุรกิจ FinTech (FinTech Limit)
และการกำหนดเพดานการลงทุนของกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบธุรกิจและทำธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ 3% ของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์และกลุ่มธุรกิจการเงิน
3.การส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน เช่น การเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนเข้ามาแข่งขันได้ผ่านการออกใบอนุญาตให้จัดตั้ง virtual banking ได้ในอนาคต
“การจะผลักดันให้เกิด responsible innovation ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ให้บริการและหน่วยงานกำกับดูแล โดยธปท. พร้อมเปิดกว้าง ยินดีรับฟัง และร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้เกี่ยวข้อง เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างบทบาทของภาครัฐและภาคเอกชนที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนพันธกิจสำคัญนี้ให้ประสบความสำเร็จ และสร้างประโยชน์อย่างแท้จริงสำหรับประเทศไทย” นายเศรษฐพุฒิกล่าว