นายกฯ สั่งการ สธ. เฝ้าระวัง ติดตามเชื้อกลายพันธุ์ของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ต่าง ๆ ย้ำ ศบค.จังหวัด/กทม.-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ บริหารจัดการกำจัดขยะติดเชื้อ-หน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วให้มีประสิทธิภาพ
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 11/2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ซึ่งพบการระบาดในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แม้จะมีการแพร่ระบาดได้ง่าย แต่จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และจำนวนผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และจำนวนผู้เสียชีวิต มีแนวโน้มคงที่ ขณะที่จำนวนผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่คาดการณ์ไว้ จึงมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข เฝ้าระวังและติดตามเชื้อกลายพันธุ์ของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวตามแผนที่วางไว้
นายอนุชา กล่าวว่า อย่างไรก็ตามแม้ขณะนี้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการดูแลรักษามากขึ้น รวมถึงประชาชนส่วนมากในประเทศยังให้ความสำคัญในการใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา แต่ขอให้กระทรวงสาธารณสุขยังคงเน้นให้ทุกจังหวัดเตรียมพร้อมเรื่องเตียง การใช้ยาอย่างเหมาะสมและต้องเป็นไปตามที่แพทย์สั่ง ไม่ให้ซื้อยามารับประทานกันเองโดยไม่มีใบสั่งจ่ายยาจากแพทย์ รวมไปถึงให้เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องดังกล่าวด้วย ตลอดจนการประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อประสิทธิภาพของวัคซีนเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเกิดความมั่นใจ และพร้อมสมัครใจมารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครอบคลุมและทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น และกลุ่ม 608 เพื่อลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิดได้ ซึ่งขณะนี้มีวัคซีนเพียงพอสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม และมีสถานพยาบาลของรัฐบาลได้เปิดให้บริการฉีดวัคซีนฟรีแล้ว ทั้งนี้ เพื่อรองรับด้านการท่องเที่ยวและการเปิดประเทศตามนโยบายรัฐบาลอันจะสร้างรายได้ให้กับประเทศตามเป้าหมายกำหนดไว้
นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำข้อมูลเกี่ยวกับผลสำเร็จในการดำเนินการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประเทศไทยซึ่งได้รับความชื่นชมและยอมรับจากต่างประเทศ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั้งในและต่างประเทศได้รับทราบอย่างกว้างขวาง รวมถึงการขอความร่วมมือให้ประชาชนทุกภาคส่วน และผู้ประกอบการ ร้านค้า ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า สถานบริการต่าง ๆ ยังต้องเข้มข้นในการปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention และมาตรการ COVID - Free Setting ต่อเนื่องเคร่งครัด เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานความร่วมมือกับผู้ให้บริการส่งอาหารของแพลทฟอร์มต่าง ๆ ต้องปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธาณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ส่งสินค้าและผู้รับบริการ รวมไปถึงให้ ศบค. จังหวัด/กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ บริหารจัดการและกำจัดขยะติดเชื้อและหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วอย่างเหมาะสมมีประสิทธิภาพ และรณรงค์ให้ประชาชนมีการแยกขยะติดเชื้อและหน้ากากอนามัยออกจากขยะทั่วไป เพื่อป้องกันการเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวด้วย
นายอนุชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการศึกษา วิจัยและติดตามการพัฒนายาและวัคซีนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรองรับต่อการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงปลายปีงบประมาณ 2565 เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในภาพรวม เช่น การจัดประชุมสัมมนา การจัดซื้อจัดจ้าง และการดำเนินโครงการต่าง ๆ เป็นต้น โดยขณะนี้การวิจัยพัฒนาวัคซีนของไทย มีความก้าวหน้าโดยลำดับและพัฒนาอยู่ในระยะที่ 3 แล้ว เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนของประเทศไทยในอนาคตอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ประเทศไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤต และได้รับการยอมรับจากนานาประเทศในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากนี้ไปต้องให้คนไทยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติมากที่สุด และสามารถอยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างปลอดภัย