‘กลุ่มเอฟทีเอว็อทช์’ ตั้ง 10 ข้อสังเกต ‘ร่างพ.ร.บ.กองทุน FTA’ เตือนรัฐอย่าใช้เป็นข้ออ้างดันไทยเข้าร่วมข้อตกลง CPTPP
.................................
จากกรณีที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.กองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า พ.ศ. .... หรือ ร่าง พ.ร.บ.กองทุน FTA ผ่านเว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมายของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล www.law.go.th ระหว่างวันที่ 11 ส.ค.-30 ก.ย.2565 นั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอว็อทช์) ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.กองทุน FTA ใน 10 ประเด็น ดังนี้
1.กองทุนฯ นี้จำกัดการช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการเท่านั้น ไม่ครอบคลุมระบบสาธารณสุข ระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากการเจรจา FTA ในหลายข้อบท เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา การลงทุน การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ฯลฯ
หากไทยลงนามใน FTA ที่มีข้อผูกพันที่จะส่งผลต่อระบบสาธารณสุข เช่น ยาราคาแพงขึ้น อุตสาหกรรมยาในประเทศถดถอย ค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้น ระบบหลักประกันสุขภาพได้รับผลกระทบไม่สามารถดูแลประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจะมีการเยียวยาอย่างไรและจะมีศักยภาพในการเยียวยาหรือไม่
และงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านยาและระบบสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นนั้น รัฐบาลจะหามาจากไหนและมีหลักประกันอย่างไรว่าจะสามารถหางบฯ มาเพิ่มได้ตลอดในระยะยาว หรือกองทุนฯ จะสามารถรับผิดชอบได้อย่างไร ซึ่งวันนี้ในการรับฟังความคิดเห็น ตัวแทนของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ไม่มีคำตอบให้
2.กองทุนฯ ไม่ได้คำนึงผลกระทบในมิติอื่น เช่น มิติทางสังคม สุขภาพ ชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน ผลกระทบทางลบที่จะเกิดกับผู้บริโภค ฯลฯ นอกจากการเยียวยาในเชิงเศรษฐกิจของผู้ได้รับผลกระทบบางภาคส่วนเท่านั้น
3.ในส่วนที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน เช่น การทำเหมืองแร่ อุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรม recycle ขยะนำเข้า อุตสาหกรรมกลบฝังและทำลายขยะนำเข้า ฯลฯ จะมีวิธีการเยียวยาอย่างไร เพราะดังปรากฎการณ์ที่เห็นจากเรื่องเหมืองทอง น้ำมันรั่ว การนำเข้าขยะสารพิษ ฯลฯ หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบยังไม่สามารถจัดการได้ดี เป็นหายนะแก่ชุมชนโดยรอบ และทั้งสังคมในภาพรวม
4.แหล่งที่มาของกองทุนฯ ตามร่าง พ.ร.บ.ระบุว่า มาจากเงินประเดิมจากงบประมาณแผ่นดินที่รัฐจัดสรรให้เท่าที่จำเป็น และมาจากค่าธรรมเนียมจากผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้า ผิดไปจากหลักการที่ภาคประชาสังคมและนักวิชาการเสนอให้อยู่ในรูปภาษีลาภลอย ภาษีจากการได้โอกาสพิเศษจากนโยบาย หรือ Windfall Tax ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ตามรายได้หรือกำไรที่ได้จากการเปิดเสรีทางการค้าจากการส่งออก นำเข้า หรือการลงทุนทั้งในและการออกไปลงทุนต่างประเทศที่ได้ประโยชน์จากความตกลงต่างๆ เพื่อดำรงหลักการความเป็นธรรมระหว่างผู้ได้รับประโยชน์และผู้ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ ข้อมูลจากการแถลงข่าวของกรมเจรจาฯ ระบุว่า ค่าธรรมเนียมจะจัดเก็บจากผู้ขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับการส่งออกภายใต้การเปิดเสรีทางการค้า คาดว่า จะสามารถจัดเก็บได้ประมาณ 80 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่น้อยมากเมื่อเทียบกับผลประโยชน์กลุ่มทุนได้รับจากข้อมูลของตัวแทนสภาหอการค้าไทยระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกราว 19 ล้านล้านบาทต่อปี หากคิด 0.001% จะได้เงินเกือบ 190 ล้าน ขณะที่ทางเอฟทีเอ ว็อทช์เสนอว่า ควรเก็บภาษีเพิ่มที่ 0.01% จะได้งบประมาณเข้ากองทุนเกือบ 2000 ล้านบาทเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
5.ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่ระบุไว้ในร่าง พ.ร.บ. ไม่มีความชัดเจนว่า รวมถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมการผลิตยาในประเทศ (ที่รวมถึงการวิจัยและพัฒนายา) ยกตัวอย่าง งานวิจัยผลกระทบของ CPTPP ด้านยา จะทำให้อุตสาหกรรมยาชื่อสามัญยอดลดลงเป็นแสนล้าน จะนับรวมอยู่ในอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบซึ่งต้องเยียวยาหรือไม่ และจะเยียวยาความสูญเสียนี้อย่างไร
6.ในร่าง พ.ร.บ.กองทุนฯนี้ กรรมการมีเพียงข้าราชการ และคนที่หน่วยราชการเห็นชอบ ทั้งที่ควรเป็นกรรมการที่เป็นตัวแทนของภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบ อาทิ จาก สภาเกษตรกร, ตัวแทนสมาคม SME และสภาองค์กรของผู้บริโภค เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ไม่ใช่มีแต่ราชการ และคนที่ราชการไปเลือกมานั่งเท่านั้น
7.เงินช่วยเหลือทั้ง 2 รูปแบบตามร่าง พ.ร.บ. ผู้ได้รับการช่วยเหลือต้องจ่ายคืนให้กองทุนหรือไม่ และในเรื่องกองทุนหมุนเวียนคือการจ่ายคืนให้กองทุนหรือเป็นการให้ seeding money กับภาคการผลิตหรือบริการนั้นๆ และสามารถนำเงินหมุนเวียนนั้นมาต่อยอด ไม่มีรายละเอียด ทั้งที่กรมเจรจาฯ พึงหาข้อมูลและกฎหมายลูกประกอบให้ชัดเจนกว่านี้ เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมพิจารณาว่า กองทุนเอฟทีเอนี้จะมีประโยชน์จริงหรือไม่
8.เงินช่วยเหลือยังคงเป็นไปในลักษณะการเขียนโครงการเข้ามาให้คณะกรรมการพิจารณา ซึ่งรูปแบบนี้เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์มาแล้วในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาผลกระทบจากการเข้าร่วม CPTPP เพราะเท่ากับเป็นการกีดกันผู้ประกอบกิจการรายเล็กและเกษตรกรรายย่อยที่อาจจะมีข้ออ่อนในการพัฒนาคำขอโครงการและเข้าถึงกองทุนได้
และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ชัดว่า ผู้ประกอบการรายเล็กและเกษตรกรรายย่อยไม่สามารถใช้ประโยชน์จากกองทุนได้ แม้ในร่าง พ.ร.บ.จะสนับสนุนให้มีการสนับสนุนจากหน่วยงานข้อกลาง แต่ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเพียงพอหรือมีศักยภาพพอที่จะช่วยเหลือให้พัฒนาโครงการจัดการงาน้อกสารจนขอทุนเยียวยาได้
9.ในกรณีที่รับเงินช่วยเหลือไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถปรับตัวได้ หรือในกรณีที่ไม่สามารถจ่ายคืนให้กองทุนได้ จะมีมาตรการรองรับอย่างไร ขณะที่การเปิดเสรีการค้าอาจสร้างผลกระทบต่อชีวิตและการประกอบอาชีพแล้ว
10.จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงานศึกษาย้อนหลังถึงกองทุนเอฟทีเอที่มีมาก่อนหน้าว่า ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไรด้วยปัจจัยใดบ้าง ก่อนที่จะนำเสนอรูปแบบกองทุนเยียวยาที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยเหลือเยียวยาได้จริง ควรมีขนาดของกองทุนที่เพียงพอเท่าไร และสัดส่วนของเงินช่วยเหลือในกองทุนจากแต่ละแหล่งที่มาควรเป็นอย่างไร (งบประมาณแผ่นดินก้อนแรก, งบประมาณแผ่นดินประจำปี, ค่าธรรมเนียมที่ได้ประโยชน์จากความตกลงการค้าฯ, และเงินบริจาค)
“จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า กองทุนนี้จะไม่ครอบคลุมและสามารถช่วยเหลือภาคส่วนต่างๆที่จะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าได้อย่างแท้จริง ดังนั้น เอฟทีเอ ว็อทช์ จึงไม่เห็นด้วยกับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว และเกรงว่าภาครัฐและภาคเอกชนที่ได้รับประโยชน์จากเอฟทีเอจะใช้ร่าง พ.ร.บ.นี้เป็นข้ออ้างในการเดินหน้าเข้าร่วมความตกลงต่างๆ โดยเฉพาะ CPTPP ที่จะมีผลกระทบทางลบอย่างกว้างขวางโดยอ้างว่าเตรียมความพร้อมในการเยียวยาแล้ว” กลุ่มเอฟทีเอว็อทช์ระบุ
กลุ่มเอฟทีเอว็อทช์ระบุด้วยว่า ภาครัฐและภาคเอกชนต้องไม่เอาเรื่องการตั้งกองทุนฯไปเป็นข้ออ้างในการเจรจา FTA ฉบับต่างๆ ที่จะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ หากความตกลงการค้ามีผลกระทบทางลบมากกว่าผลได้ หรือกระทบคนหมู่มาก ต้องไม่ทำ เพราะการเยียวยาไม่ช่วยอะไร ดังนั้น จึงต้องสร้างความเข้มแข็งภาคส่วนต่างๆก่อนเข้า FTA ไม่ใช่มาเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบในภายหลัง