‘นิด้าโพล’ สำรวจความนิยมทางการเมือง ครั้งที่ 2/2565 ‘อุ๊งอิ๊ง’ คะแนนนิยมพุ่งอันดับหนึ่ง ตัวเต็งนั่งนายกรัฐมนตรี หวังเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย ผลงานในอดีตของ ‘ทักษิณ’ ขณะที่ ‘พิธา’ อันดับสาม ‘ประยุทธ์’ อยู่ที่สี่ แต่มีสัดส่วนคะแนนลดลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 มิ.ยง2565 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 2/2565’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20-23 มิ.ย.2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปกระจายทุกภูมิภาคระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,500 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง
ผลการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 25.28 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เพราะต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย นโยบายของพรรคทำได้จริง ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบผลงานในอดีตของตระกูลชินวัตร และเป็นบุตรสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
อันดับ 2 ร้อยละ 18.68 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้
อันดับ 3 ร้อยละ 13.24 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพราะต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ชื่นชอบอุดมการณ์ทางการเมือง และชื่นชอบนโยบายของพรรคก้าวไกล
อันดับ 4 ร้อยละ 11.68 ระบุว่าเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์สุจริต ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ นโยบายสามารถช่วยเหลือประชาชนได้จริง และต้องการให้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 5 ร้อยละ 6.80 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยสร้างไทย เพราะชื่นชอบผลงานในอดีต มีประสบการณ์ด้านการบริหาร ซื่อสัตย์สุจริต ขณะที่บางส่วนระบุว่า ต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ
อันดับ 6 ร้อยละ 6.60 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา พูดจริงทำจริง น่าเชื่อถือ มีความซื่อสัตย์สุจริต และเชื่อมั่นในการทำงาน
อันดับ 7 ร้อยละ 4.20 ระบุว่าเป็น นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพราะ มีความรู้ความสามารถ ตั้งใจในการทำงาน ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบแนวคิดและทัศนคติในการทำงาน
อันดับ 8 ร้อยละ 3.76 ระบุว่า นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า เพราะมีความรู้ความสามารถ เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ มีประสบการณ์ด้านการบริหาร ขณะที่บางส่วนระบุว่าชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา
อันดับ 9 ร้อยละ 2.92 ระบุว่าเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นคนที่พูดจริงทำจริงและมีความน่าเชื่อถือ ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา
อันดับ 10 ร้อยละ 1.68 ระบุว่าเป็น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เพราะมีความรู้ความสามารถ เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ เป็นคนที่พูดจริงทำจริงและมีความน่าเชื่อถือ ขณะที่บางส่วนระบุว่า เชื่อมั่นในการทำงาน
อับดับ 11 ร้อยละ 1.56 ระบุว่าเป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา และชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์
อันดับ 12 ร้อยละ 1.52 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพราะชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา ขณะที่บางส่วนระบุว่าชื่นชอบนโยบายพรรคภูมิใจไทย
และร้อยละ 2.08 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ , นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) , น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) , นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม (พรรคไทยภักดี) , นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) , พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) , นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนา) , นายอภิชาติ ซำศิริพงษ์ (พรรคพลังประชารัฐ) , นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) , นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ (พรรคไทยศรีวิไลย์) , นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร (พรรคก้าวไกล) และนางช่อทิพย์ ส่งวัฒนา
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 1/65 เดือน มี.ค.2565 พบว่า ผู้ที่ระบุว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ รวมถึงผู้ที่ระบุชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ , คุณหญิงสุดารัตน์ , พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ , นพ.ชลน่าน และนายจุรินทร์ มีสัดส่วนลดลง ในขณะผู้ที่ระบุชื่อ น.ส.แพทองธาร และ นายกรณ์ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 36.36 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย , อันดับ 2 ร้อยละ 18.68 ระบุว่า ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดเลย , อันดับ 3 ร้อยละ 17.88 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล , อันดับ 4 ร้อยละ 7.00 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ , อันดับ 5 ร้อยละ 6.32 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ , อันดับ 6 ร้อยละ 3.04 ระบุว่าเป็น พรรคเสรีรวมไทย , อันดับ 7 ร้อยละ 2.96 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย , อันดับ 8 ร้อยละ 2.68 ระบุว่าเป็น พรรคกล้า , อันดับ 9 ร้อยละ 2.56 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย
และร้อยละ 2.52 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคสร้างอนาคตไทย พรรคไทยภักดี พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคไทยศรีวิไลย์ และพรรคครูไทยเพื่อประชาชน
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 1/65 เดือนมีนาคม 2565 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดเลย และพรรคประชาธิปัตย์ มีสัดส่วนลดลง ในขณะผู้ที่ระบุว่า พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคกล้า และพรรคภูมิใจไทย มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.64 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 26.16 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑลและภาคกลาง ร้อยละ 18.04 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.48 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 13.68 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้
ตัวอย่าง ร้อยละ 48.16 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.84 เป็นเพศหญิง
ในจำนวนนี้ ร้อยละ 13.20 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.80 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 19.20 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.56 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 23.24 อายุ 60 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 94.88 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.76 นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 0.72 นับถือศาสนาคริสต์ และอื่น ๆ และร้อยละ 0.64 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 30.88 สถานภาพโสด ร้อยละ 65.96 สมรสแล้ว ร้อยละ 2.84 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ และร้อยละ 0.32 ไม่ระบุสถานภาพการสมรส
ขณะที่การศึกษา ร้อยละ 27.84 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 32.64 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 7.80 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 27.08 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 4.20 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 0.44 ไม่ระบุการศึกษา
ด้านการประกอบาชีพ ร้อยละ 8.64 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.32 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.32 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจส่วนตัว/อาชีพอิสระ ร้อยละ 13.20 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 14.36 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 18.12 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 7.52 เป็นนักเรียน/นักศึกษา และร้อยละ 0.52 ไม่ระบุอาชีพ
ร้อยละ 22.20 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 21.24 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 28.56 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 9.68 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.40 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป ในสัดส่วนที่เท่ากัน และร้อยละ 9.52 ไม่ระบุรายได้