‘ชัชชาติ’ จี้ทุกโรงเรียนต้องปลอดกัญชา ห่วงตั้งขายใบกระท่อมใกล้สถานศึกษา กำชับให้ความรู็ด่วย ส่วนการเดินทางของเด็กพบส่วนใหญ่มามอเตอร์ไซต์ ห่วงหมวกกันน็อกขาด 1.2 แสนใบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 23 มิถุนายน 25665 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมีการปล่อยเสรีมากขึ้น จึงเกรงว่า สิ่งเหล่านี้จะเข้ามามีผลกระทบกับนักเรียนในโรงเรียน หากเดินไปดูบริเวณถนนประชาสงเคราะห์จะพบมีใบกระท่อมจำหน่ายตลอดเส้น จึงขอให้โรงเรียนมีการทำแผ่นพับ ข้อมูลความรู้แจ้งให้กับเด็กนักเรียนทราบ ภายในโรงเรียนไม่น่าเป็นห่วงมากเนื่องจากสามารถควบคุมได้ แต่สำคัญที่ภายนอกโรงเรียน ทั้งร้านค้า ร้านขายของที่อยู่นอกโรงเรียน จึงขอความร่วมมือติดป้ายเพื่อให้ความรู้ และให้ครู ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่เทศกิจช่วยตรวจตราบริเวณโดยรอบโรงเรียน รวมทั้งแจ้งเหตุหากพบมีการขายของเหล่านี้ให้แก่เด็กนักเรียนหรือบุคลากร
“ต้องขอบคุณร้านค้าบริเวณโดยรอบโรงเรียนที่ให้ความร่วมมือ จริงๆแล้ว ลูกค้าก็คือเด็กนักเรียน ถ้าหากนักเรียนเกิดอันตราย ก็มีผลกระทบต่อการทำการค้า ดังนั้นความร่วมมือเป็นเรื่องสำคัญ อย่าดูแค่ผลประโยชน์ระยะสั้น ขอให้ดูผลประโยชน์ของชุมชนระยะยาวด้วย กัญชาอาจจะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อาจสำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น สำหรับนักเรียนอย่าเอาเข้ามาข้องเกี่ยวเลย เนื่องจากเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องมีการพัฒนาการอีกมาก บางเรื่องอาจจะยังไม่มีวิจารณญาณที่จะเลือก ส่วนใบกระท่อมขณะนี้มีจำหน่ายทั่วไปและใกล้เคียงโรงเรียนมากขึ้นจนดูเป็นเรื่องปกติ ต้องให้ความรู้กับเด็กว่าเป็นสิ่งเสพติด ฝากครูและอาจารย์ให้ความรู้และอธิบายว่า พิษภัยของกระท่อมไม่ต่างจากกัญชามีพิษที่รุนแรง ขอขอบคุณผู้อำนวยการโรงเรียนรวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าหยุดแค่ช่วงนี้ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง หากมีปัญหาอุปสรรคอะไรให้รายงานมา จะได้ช่วยแก้ปัญหา” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวย้ำ
ผู้ว่ากทม. กล่าวด้วยว่า เด็กส่วนใหญ่ 70% มาโรงเรียนด้วยรถมอเตอร์ไซต์ ซึ่งเด็กไม่มีหมวกกันน็อกเนื่องจากเด็กศีรษะเล็ก ต้องใช้หมวกกันน็อกขนาดเล็ก ซึ่งจากการสำรวจเด็กนักเรียน 270,000 คนในสังกัดกรุงเทพมหานคร พบว่ามีความต้องการหมวกกันน็อกขนาดเล็ก 120,000 ใบ ขณะนี้อยู่ระหว่างหาผู้สนับสนุน เบื้องต้นทราบว่า บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด จะสนับสนุนทั้งหมด โดยจะบริหารจัดการให้เป็นของใช้ส่วนกลางของโรงเรียน ให้เด็กยืมไปใช้ในแต่ละเทอม จะได้ไม่ต้องหาใหม่ทุกเทอม เมื่อเด็กโตขึ้นก็อาจใช้หมวกกันน็อกปกติได้ เมื่อเอามาคืนก็ล้างทำความสะอาดและให้รุ่นต่อไปยืมไปใช้ต่อ
นอกจากนี้ วันนี้ได้นำตัวอย่างเทคโนโลยีมาใช้เกี่ยวกับการดูแลเด็กเข้าออกโรงเรียน ใช้ระบบตรวจจับใบหน้า ดูเวลาเข้า-ออก รวมถึงการตรวจวัดค่าฝุ่นภายในโรงเรียน ซึ่งเป็นตามนโยบายที่ประกาศว่า ต่อไปจะดูแลเรื่องฝุ่นให้เข้มข้น โรงเรียนต้องมีประกาศว่าแต่ละวันมีค่าฝุ่นเท่าไร อาจจะต้องมีห้องฟอกอากาศ มีหน้ากากอนามัยให้นักเรียนใช้เพียงพอ อย่างน้อยช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่น ซึ่งเป็นโครงการที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต
“เรื่องความปลอดภัยของนักเรียนเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องดูแลทุกมิติ เนื่องจากเด็กคือทรัพยากรที่สำคัญสุดของเมือง ต่อไปจะเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยดูแลเมืองของเรา เราก็ต้องดูแลเค้าให้ดีด้วย” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว