กรรมาธิการงบปี 65 สแกน 'คลัง' จี้เปิดข้อมูลความเสี่ยงทางการคลังจากมาตรการรัฐ พร้อมแสดงความกังวลหลังงบบำเหน็จ-บำนาญแตะ 10% ของภาพรวม แนะหน่วยงานทำแผนรองรับอนาคต พร้อมชื่นชม 'ธนารักษ์' ลดการผลิตเหรียญ สอดรับสถานการณ์ปัจจุบัน
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันที่ 9 มิถุนายน 2565 นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ , นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ และ นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เปิดเผยว่า ในการประชุมเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้พิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงการคลัง วงเงินรวม 285,230 ล้านบาท โดยมีรายการพิจารณาประกอบด้วย
1.สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง วงเงิน 1,269,034,300 บาท โดยมีเงินจากกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม วงเงิน 35,514,624,900 บาท 2.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง วงงิน 929,749,300 บาท 3.กรมธนารักษ์ วงเงิน 3,789,359,700 บาท 4.กรมบัญชีกลาง วงเงิน 1,530,773,700 บาท
ส่วนงบกลางที่กรมบัญชีกลางรับผิดชอบ วงเงินรวมทั้งสิ้น 491,470,000,000 บาท ใช้เป็นค่าใช้จ่ายด้านชดใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน, ด้านการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ, ด้านการช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ, ค่าเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ, ค่าเลื่อนเงินเดือนและค่าปรับวุฒิข้าราชการ, ค่าสมทบของลูกจ้างประจำ และเงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยของข้าราชการ
จี้ คลัง เปิดข้อมูลความเสี่ยงจากมาตรการรัฐ
นอกจากนี้ ในทึ่ประชุมเสนอให้กระทรวงการคลัง เปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงทางการคลังด้วย เพราะมาตรการของกระทรวงที่เคยให้หน่วยงานต่างๆ สำรองค่าใช้จ่ายไปก่อน หากรัฐบาลให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามมาตรการ หรือโครงการที่รัฐกำหนด ซึ่งรัฐบาลจะรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการนั้น แต่ให้กระทำได้เฉพาะกรณี เช่น เป็นหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายที่อยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐนั้น หรือเพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพ หรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย หรือการก่อวินาศกรรม แต่การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้มีการเปิดเผยสู่สาธารณะ เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องเปิดเผย
ทั้งนี้เพื่อความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ จึงขอให้กระทรวงการคลังมีนโยบายในการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงทางการคลังในส่วนนี้
แนะทำแผนรองรับอนาคต หลังบำนาญข้าราชการพุ่งขึ้นทุกปี
ขณะที่งบประมาณของกรมบัญชีกลาง วงเงิน 1,530,773,700 บาท ที่ประชุมหารือกันเกี่ยวกับงบประมาณเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญของข้าราชการในส่วนของเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี โดยมีข้อสังเกตว่า ในปี 2554 เงินเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ ใช้งบประมาณไม่ถึง 1 แสนล้านบาท หรือ 5% ของรายจ่ายทั้งหมดของประเทศ แต่งบประมาณรายการนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเป็นรายการที่มีค่าใช้จ่ายเกินกว่า 10% ของงบประมาณทั้งหมดของประเทศ
ด้วยเหตุนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการจัดทำงบประมาณในอนาคต จึงแนะนำว่า ควรมีแผนในการรองรับงบประมาณในส่วนนี้ซึ่งจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาจต้องเตรียมสำรองงบประมาณเอาไว้ล่วงหน้า หรือมีแผนการบริหารงบประมาณเพื่อไม่ให้งบประมาณรายการนี้เกินกว่า 10% ของงบประมาณรายจ่ายรวมของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผู้แทนของกรมบัญชีกลางชี้แจงว่า จำนวนผู้รับบำนาญมี 811,272 คน ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2565 โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ตั้งงบประมาณในส่วนนี้ 352,700 ล้านบาท ได้รับจัดสรร 322,790 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายจ่ายที่สะสมเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะผู้รับบำนาญมีอายุที่ยืนยาวขึ้น คาดว่า อีก 5 ปี ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 400,000 ล้านบาท
หนุน'ธนารักษ์'ลดผลิตเหรียญ
ด้านงบประมาณของกรมธนารักษ์ วงเงิน 3,789,159,700 บาท ที่ประชุมพูดถึง ขั้นตอนการผลิตเหรียญกษาปณ์ในอนาคต ซึ่งจากข้อมูลในเอกสารงบประมาณ พบว่า กรมธนารักษ์ ได้ปรับลดการผลิตเหรียญกษาปณ์ลงทุกปีโดยในปี 2565 มีการผลิต 2,700 ล้านเหรียญ ปี 2566 ลดลงเหลือ 1,970 ล้านเหรียญ ส่วนปี 2567 จะมีการผลิตลดลงเหลือ 1,890 ล้านเหรียญ ปี 2568 จะลดลงเหลือ 1,810 ล้านเหรียญ และปี 2569 ลดลงเหลือ 1,740 ล้านเหรียญ
ทั้งนี้ จะเห็นว่าหน่วยงานมีการผลิตเหรียญลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงชื่นชมหน่วยงานในกรณีดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานเพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินตรา (Cashless Society) และในอนาคตการใช้ธนบัตรซึ่งเป็นกระดาษหรือเหรียญกษาปณ์จะลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะประชาชนนิยมใช้เทคโนโลยี E-Banking กันมากขึ้น และการจับจ่ายใช้สอยในปัจจุบันประชาชนใช้วิธีการโอนเงินผ่านทางแอปพลิเคชั่นกันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหน่วยงานจะมีการลดการผลิตเหรียญลงอย่างต่อเนื่อง แต่กลับพบว่า หน่วยงานมีโครงการพัฒนาโรงกษาปณ์ 4.0 จึงขอความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว กรมธนารักษ์ได้ชี้แจงว่า โรงกษาปณ์ 4.0 เป็นโครงการที่พัฒนากระบวนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งงานรับจ้างจัดทำเหรียญชนิดอื่นๆ การจัดทำเหรียญที่ระลึก และการจัดทำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นต้น เพื่อชดเชยรายได้จากการผลิตเหรียญทั่วไป ซึ่งหน่วยงานมีแผนการผลิตลดลง โดยการพัฒนาโรงงาน 4.0 ใช้เงินนอกงบประมาณซึ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียนที่มีวัตถุประสงค์เป็นการเฉพาะ ไม่ได้ขอรับจัดสรรงบประมาณแต่อย่างใด