ราชกิจจานุเบกษา แพร่คำสั่ง ศบค.เปิดลงทะเบียนรับนักท่องเที่ยวเข้ามาในแซนด์บ็อกซ์เพิ่มเติมใน 'ชลบุรี-ตราด' เฉพาะบางพื้นที่ มีผล 1 ก.พ.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2565 เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา แพร่คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เรื่องแนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 22 มีใจความสำคัญระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 24 ม.ค. ให้ขยายการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.-31 มี.ค.2565 นั้น
โดยที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ยังคงแพร่ระบาดในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากปรากฏกรณีไวรัสโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนที่สามารถแพร่กระจายและมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ อย่างไรก็ดีด้วยพบว่าโควิดสายพันธุ์ดังกล่าว ไม่ทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดอาการป่วยรุนแรง และจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดมีจำนวนลดลงตามลำดับ จึงเห็นควรปรับมาตรการป้องกันโรคเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจควบคู่กับความมั่นคงทางด้านสาธารณสุข เพื่อให้การดำเนินการตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และตามคำสั่งของนายกรัฐมตรีเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด จึงมีคำสั่งให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรค ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้คำสั่งระงับการลงทะเบียนเข้าราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ยกเว้นผู้เดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ได้แก่ กระบี่ ภูเก็ต พังงา สุราษฎร์ธานี (เฉพาะเกาะเต่า เกาะพะงัน และเกาะสมุย) ยังมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ข้อ 2 ให้รับการลงทะเบียนการเดินทางเข้าราชอาณาจักรของผู้เดินทางเข้ามาในพื้นที่ชลบุรี (เฉพาะอำเภอบางละมุง เมืองพัทยา อำเภอศรีราชา อำเภอสัตหีบ เฉพาะตำบลนาจอมเทียน และตำบลบางเสร่) และตราด (เฉพาะอำเภอช้าง) ซึ่งได้กำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ตั้งแต่ 1 ก.พ. เป็นต้นไป
ข้อ 3 ให้ปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร โดยให้มีหลักฐานการตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี RT-PCR ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
-
ผู้พำนักในราชอาณาจักรน้อยกว่า 5 วัน ให้มีหลักฐานชำระค่าที่พักหรือสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนดในวันแรกที่เดินทางเขข้ามา และต้องมีหลักฐานการชำระเงินค่าตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR จำนวน 1 ครั้ง
-
ผู้พำนักในราชอาณาจักรไม่น้อยกว่า 5 วัน ให้มีหลักฐานชำระค่าที่พักหรือสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนดในวันแรกที่เดินทางเขข้ามา และในวันที่ 5 ของระยะเวลาที่พำนักอยู่ และต้องมีหลักฐานการชำระเงินค่าตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR จำนวน 2 ครั้ง
ข้อ 4 ให้ปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร สำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ได้แก่ กระบี่ ภูเก็ต พังงา สุราษฎร์ธานี (เฉพาะเกาะเต่า เกาะพะงัน และเกาะสมุย) ชลบุรี (เฉพาะอำเภอบางละมุง เมืองพัทยา อำเภอศรีราชา อำเภอสัตหีบ เฉพาะตำบลนาจอมเทียน และตำบลบางเสร่) และจังหวัดตราด (เฉพาะอำเภอช้าง) โดยให้มีหลักฐานการตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี RT-PCR จำนวน 2 ครั้ง ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
-
ให้มีหลักฐานชำระค่าที่พักหรือสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนดไม่น้อยกว่า 7 วัน และต้องมีหลักฐานการชำระเงินค่าตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR จำนวน 2 ครั้ง
-
ให้โรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการของโรงแรมหรือสถานที่พักหรือสถานที่ซึ่งผู้เดินทางต้องเข้ารับการกักกันตัวตามที่ทางราชการกำหนด แล้วแต่กรณี ดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด ด้วยวิธี RT-PCR ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้เดินทาง ระหว่างวันที่ 5-6 ของระยะเวลาที่พำนักอยู่ในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวหรือเมื่อมีอาการของโรคระบบทางเดินหายใจ หรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด (สธ.)
-
กรณีผู้เดินทางในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวในกระบี่ ภูเก็ต พังงา และสุราษฎร์ธานี (เฉพาะเกาะเต่า เกาะพะงัน และเกาะสมุย) หากผลการตรวจหาเชื้อโควิด โดยวิธี RT-PCR ในครั้งแรกยืนยันว่าผู้เดินทางไม่มีเชื้อโรคโควิด ให้ผู้เดินทางสามารถเดินทางในกลุ่มจังหวัดดังกล่าวได้ โดยให้ผู้เดินทางสามารถเปลี่ยนโรงแรมหรือสถานที่พักหรือสถานที่ซึ่งผู้เดินทางต้องเข้ารับการกักกันตัวตามที่ราชการกำหนดได้ไม่เกิน 3 แห่ง
ข้อ 5 ให้ผู้เดินทางที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามข้อ 3 และ 4 ข้างต้น ยังคงปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้อย่างเคร่งครัด
ข้อ 6 สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรประเภทอื่น ให้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้โดยเคร่งครัด
ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น