'ธปท.-ธนาคารกลางอินโดนีเซีย' เปิดตัวการเชื่อมโยงการชำระเงินระหว่าง 2 ประเทศผ่าน 'คิวอาร์โค้ด' พร้อมขยายบริการโอนเงินข้ามประเทศ โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์แทน 'เลขบัญชี' ไตรมาส 1 ปีหน้า
.........................
เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารกลางอินโดนีเซีย (Bank Indonesia: BI) ร่วมกันเปิดตัวการเชื่อมโยงด้านการชำระเงินระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกผ่านโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินของประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซีย และเปิดให้บริการชำระเงินด้วยนวัตกรรม QR Code ที่เป็นมาตรฐาน ส่งผลให้ลูกค้าและร้านค้าของทั้งสองประเทศสามารถทำรายการชำระเงินและรับเงินระหว่างกันผ่าน QR Code ได้ทันที
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นการเชื่อมโยงการชำระเงินในอาเซียน (ASEAN Payment Connectivity) ที่ส่งเสริมการบูรณาการทางการเงินในระดับภูมิภาค
ในระยะแรก ลูกค้าในประเทศไทยสามารถใช้แอปพลิเคชันบนมือถือของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ สแกน QRIS (Quick Response Code Indonesian Standard) ซึ่งเป็น QR มาตรฐานของประเทศอินโดนีเซีย ชำระค่าสินค้าและบริการที่ร้านค้าในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนลูกค้าในประเทศอินโดนีเซียสามารถใช้แอปพลิเคชันบนมือถือของหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการสแกน Thai QR Code ชำระค่าสินค้าและบริการร้านค้าของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการในประเทศไทย
"การให้บริการในระยะแรกนี้ เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับลูกค้า ร้านค้า และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินระหว่างประเทศก่อนที่จะขยายการให้บริการอย่างเต็มรูปแบบต่อไป" ธปท. ระบุ
สำหรับการให้บริการชำระเงินระหว่างกันด้วย QR Code มาตรฐานดังกล่าว จะรองรับธุรกรรมการชำระเงินจากการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะจากธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างกันสูงถึง 8 แสนคนในปี 2562 และคาดว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกหลังสถานการณ์การเดินทางกลับสู่ภาวะปกติ รวมทั้งสามารถรองรับการซื้อขายออนไลน์ระหว่างประเทศได้อีกด้วย
ส่วนในระยะต่อไป ช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 จะเพิ่มจำนวนธนาคารและ non-bank ที่ให้บริการมากขึ้น รวมทั้งในอนาคตจะขยายบริการโอนเงินระหว่างประเทศแบบทันทีโดยใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้รับแทนเลขที่บัญชีด้วย
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ธปท. เห็นความสำคัญของการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ และได้ดำเนินการกับหลายประเทศในอาเซียนแล้ว 5 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย ตามแผน ASEAN Payment Connectivity ซึ่งถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญที่จะช่วยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
"ธปท. เชื่อมั่นว่าบริการการชำระเงินด้วย QR Code ระหว่างประเทศเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมีค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมและจูงใจต่อผู้ใช้บริการ ทั้งผู้ที่ทำการค้าขายออนไลน์ และนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 คลี่คลายลง นอกจากนี้ การเชื่อมโยงกับประเทศที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนครั้งนี้จะเป็นปัจจัยเร่งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีการชำระเงินของประชาชนในอาเซียน อันจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจของอาเซียนเติบโตและก้าวไปสู่สังคมดิจิทัลอีกด้วย" นายรณดล กล่าว
นายซูเกง รองผู้ว่าการ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย กล่าวว่า การเชื่อมโยงการชำระเงินในครั้งนี้เป็นอีกก้าวในแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงินอินโดนีเซียปี 2568 โดยเฉพาะในส่วนของระบบการชำระเงินรายย่อยหรือการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านการเชื่อมโยงมาตรฐาน QR Code
นอกจากนี้ การเชื่อมโยงดังกล่าวยังเป็นการส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่นโดยการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนโดยตรงสำหรับการชำระดุลระหว่างประเทศ ซึ่งจะลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและทำให้ต้นทุนในการทำธุรกรรมต่ำลง โดยการทำธุรกรรมผ่านธนาคารตัวแทนในการให้บริการธุรกรรม (Appointed Cross Currency Dealer: ACCD) ในแต่ละประเทศ
นายซูเกง ยังระบุว่า นอกจากการเชื่อมโยงนี้จะส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว ยังจะช่วย SME ที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยวให้เข้าถึงบริการทางการเงินในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น โดยระยะแรกของการเชื่อมโยงนี้ที่ BI เรียกว่า ‘industrial sandbox’ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการผลักดันการเชื่อมโยงการชำระเงินระหว่างประเทศในระดับภูมิภาคต่อไป
สำหรับผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินของทั้งสองประเทศ ได้แก่ เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ (NITMX) และ RAJA (Rintis, Artajasa, Jalin และ Alto) และธนาคารที่เข้าร่วมโครงการและทำหน้าที่ชำระดุลระหว่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ของประเทศไทย และ Bank Central Asia (BCA) Bank Negara Indonesia (BNI) และ Bank Rakyat Indonesia (BRI) ของประเทศอินโดนีเซีย
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage