อ้างโดนยั่วยุ-ทำลายทรัพย์สินราชการ! บช.น.ยันปฏิบัติการสลายชุมนุม ‘คาร์ม็อบ’ 1 ส.ค.เป็นไปตามหลักสากล ได้รับการยอมรับทั่วโลก ปัดใช้กระสุนจริง เผยมี ตร.บาดเจ็บ 13 นาย ถูกขว้างปาสิ่งของ-ประทัด สอบปากคำผู้ชุมนุมที่ถูกจับ
.......................................................................
เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2564 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษก บชน. เปิดเผยถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา และปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย มีผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งถูกจับดำเนินคดีว่า ขณะนี้ควบคุมผู้ชุมนุมจากที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียง รวมถึงในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี 10 คน และจับกุมผู้ร่วมชุมนุมอีก 1 คนบริเวณพื้นที่การชุมนุม เนื่องจากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงนำตัวทั้งหมดไปควบคุมที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 (บก.ตชด.ภ.1) จ.ปทุมธานี และที่ห้องควบคุมผู้ต้องหากองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส) กรุงเทพมหานคร โดยอยู่ระหว่างการสอบปากคำผู้ต้องหา หากสอบสวนเสร็จสิ้นภายในวันนี้จะฝากขังผ่านระบบ video conference แต่หากไม่ทันก็จะเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 3 ส.ค. 2564 ทั้งหมดเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บโรคติดต่อ พ.ร.บ.จราจรทางบก และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลายข้อหาซึ่งแตกต่างกันไป
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวอีกว่า มีตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่จำนวน 13 นาย ส่วนใหญ่เป็นการบาดเจ็บจากการถูกขว้างปาสิ่งของและประทัดจากกลุ่มผู้ชุมนุม รวมถึงการปะทะระหว่างการผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการปฏิบัติงานของตำรวจเป็นไปตามขั้นตอนและยุทธวิธีในระดับสากลซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก จากภาพคลิปวีดีโอและภาพนิ่งตำรวจมีหลักฐานยืนยันด้วยว่ากลุ่มผู้ชุมนุมทำการยั่วยุทำลายทรัพย์สินของราชการและลุกลามเข้ามาในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ก่อน จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอน รูปแบบของกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้ชุมนุมหลายกลุ่มหรือที่เรียกว่าแม่น้ำหลายสาย ประกอบด้วยกลุ่มผู้ชุมนุมจากจังหวัดนนทบุรี นครปฐม กรุงเทพมหานคร เขตมีนบุรี และจุดอื่นๆทั่วกรุงเทพมหานคร เคลื่อนตัวมุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่การชุมนุมที่นัดหมายไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบตัวบุคคลและจะติดตามดำเนินคดีออกหมายเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลังต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง
โฆษก บช.น. กล่าวถึงกรณีที่มีภาพของตำรวจกองร้อยควบคุมฝูงชนใช้อาวุธปืนลูกซองจ่อศีรษะผู้ชุมนุมที่กำลังขี่รถจักรยานยนต์บนถนนวิภาวดีรังสิต ว่าเป็นรูปแบบทางยุทธวิธีที่เรียกว่า cover and contact เป็นมาตรฐานสากลที่ต่างประเทศใช้ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงการตักเตือนผู้ชุมนุมให้กลับเคหะสถาน ลักษณะก็ต้องปฏิบัติไปตามยุทธวิธี คือ ระหว่างที่มีเจ้าหน้าที่ไปเจรจา พูดคุยก็ต้องมีอีกคนคอยคุมกันอยู่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวกลุ่มผู้ชุมนุมกระจายตัวออกจากพื้นที่ และเจ้าหน้าที่เห็นว่าผู้ชุมนุมบางคนอาจเป็นภัยคุกคามหรืออาจเกิดอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ได้ อาวุธปืนที่ใช้ บช.น.ติดสติกเกอร์เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นชัดเจนว่า กระสุนที่ใช้เป็นกระสุนยาง ในภาพดังกล่าวไม่ได้มีการยิงผู้ชุมนุม แต่ตักเตือนและไล่ให้ออกนอกพื้นที่ ลักษณะที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เพราะสถานการณ์ในขณะนั้นค่อนข้างเสี่ยงต่อเนื่องจากก่อนหน้านั้นมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ชุมนุม
ส่วนกรณีที่ผู้ชุมนุมอ้างว่ามีการใช้กระสุนจริงนั้น พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า ยืนยันได้ว่า บช.น. กำชับและตรวจสอบถ้าไม่ให้เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปควบคุมสถานการณ์นำอาวุธชนิดอื่นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลกำหนดเข้าไปใช้ในการปฏิบัติงานเด็ดขาด นอกจากแก๊สน้ำตา ปืนลูกซองกระสุนยาง ปืนยิงตะข่ายควบคุมตัว และโล่กระบอง ส่วนการควบคุมการชุมนุมในวันที่ 7 ส.ค. บช.น.อยู่ระหว่างการหารือเพื่อหาแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีกส่วนจะใช้รูปแบบและยุทธวิธีใดนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้เพราะอยู่ระหว่างการหารือกันของแต่ละฝ่าย ทั้งนี้ต้องขอเตือนผู้ชุมนุมว่า ขณะนี้ประเทศบอบช้ำมากพอแล้วอย่าได้ซ้ำเติมอีกเลย อย่างกรณีเมื่อวานที่ผู้ชุมนุมมีการปิดถนนวิภาวดี เส้นดังกล่าวมีโรงพยาบาลหลายแห่งทำให้รถพยาบาล และรถของบุคลากรทางการแพทย์ไม่สามารถปฏิบัติภาระกิจได้สะดวก จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้เวลาในการเคลียร์พื้นที่ ส่วนการดำเนินคดีสำหรับผู้ชุมนุมที่เดินทางมาร่วมชุมนุมและถูกดำเนินคดีในหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ ศาลสามารถที่จะเพิ่มโทษได้ในแต่ละครั้งแต่ละฐานความผิด ด้วยเช่นกัน
หมายเหตุ : ภาพประกอบ พล.ต.ต.ปิยะ จาก https://mpics.mgronline.com/
อ่านประกอบ : 1 ส.ค.หลายจังหวัดนัดชุมนุม 'คาร์ม็อบ' ไล่รัฐบาล 'บิ๊กตู่' - ตร.พบผิดอย่างน้อย 6 ข้อหา
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/