สั่งกองทัพ เร่งตั้ง รพ.สนามเพิ่ม ผนึกกำลังร่วม กทม.จัดชุดตรวจเชิงรุก ฉีดวัคซีนตามบ้าน พร้อมส่งผู้ป่วยเข้าระบบรักษา แก้ปัญหาผู้ป่วยตกค้าง ระหว่างวันที่ 15-25 ก.ค.2564
................................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2564 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม (กห.) กล่าวว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหมได้ประชุม หน่วยงาน กอ.รมน. นขต.กห. เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
พบว่าภาพรวม กองกำลังป้องกันชายแดนทั้งทหาร ตำรวจ ยังตรึงกำลัง เฝ้าระวังคัดกรองบุคคลผ่านเข้าออกชายแดน และจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายได้อย่างต่อเนื่อง สัปดาห์ที่ผ่านมา จับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้ถึง 248 คน แบ่งเป็น ลาว 110 คน กัมพูชา 69 คน พม่า 25 คน และจีน 4 คน
ขณะเดียวกัน กำลังทหารตำรวจ ยังคงกระจายกันควบคุมดูแลแคมป์คนงาน 606 แห่งในพื้นที่ต่างๆ ของ กทม. พร้อมทั้งจัดตั้งด่านตรวจ 88 จุด ในพื้นที่ต่างๆ ทำความเข้าใจกับประชาชนและเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายตามข้อกำหนดกับการควบคุมการเคลื่อนย้ายของประชาชนและการรวมกลุ่มในกิจกรรมเสี่ยง เพื่อให้เกิดผลทางปฏิบัติในการควบคุมโรคอย่างจริงจังร่วมกัน
ความร่วมมือกันเร่งหยุดเชื้อในพื้นที่ กทม.กองทัพได้จัดกำลังร่วมกับ กทม.ทำหน้าที่ชุดตรวจค้นหาเชิงรุก ( CCRT ) จำนวน 69 ชุด และเตรียมจัดเพิ่มเป็น 188 ชุด เร่งเข้าชุมชนต่างๆใน 50 เขต ตรวจคัดกรองแยกผู้ป่วยออกจากบ้านและชุมชน เข้ารับการรักษาในระบบ พร้อมทั้งฉีดวัคซีนให้กับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงตามบ้านในคราวเดียวกัน ระหว่าง 15-25 ก.ค.2564 เพื่อลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยถึงชีวิต
ด้าน พล.อ.ชัยชาญ ได้ย้ำสั่งการของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอให้ทุกเหล่าทัพ ให้ความสำคัญ คงความเข้มข้นเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมทั้งขอให้สำรวจพื้นที่ในหน่วยทหาร ขยายผลจัดตั้ง รพ.สนามเพิ่มเติมในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ 10 จังหวัดสีแดงเข้ม และเตรียมบุคลากรทางการแพทย์แถวสองและอาสาสมัคร เพื่อดูแลรองรับผู้ป่วยที่มีแนวโน้มมากขึ้นให้เพียงพอ
นอกจากนี้ พล.อ.ชัยชาญ ยังได้กำชับทุกเหล่าทัพ ให้ความสำคัญสนับสนุนจังหวัดสีแดงเข้มเร่งตรวจค้นหาเชิงรุกในพื้นที่ เพื่อแยกผู้ป่วยออกจากชุมชน และให้ประสานทำงานร่วมกับศูนย์เอราวัณดำรงความต่อเนื่องสนับสนุนยานพาหนะและเจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ยังมีในชุมชนเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว พร้อมกันนี้ ขอให้ทุกเหล่าทัพที่มีหน่วยทหารในพื้นที่สีแดงเข้ม ทำการตรวจเชิงรุกในชุมชนหน่วยทหาร และจัดตั้งพื้นที่คัดแยกผู้ป่วยออกจากชุมชน ( CI ) รองรับการดูแลกันเองในหน่วยทหาร ควบคู่ไปกับการสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมมือกันลดการแพร่ระบาดของโรคให้ได้โดยเร็ว
สำหรับการเตรียมสนับสนุนของ กห.ในการนำผู้ป่วยติดเชื้อตามบ้านและชุมชนที่มีมากขึ้นออกมารักษาในระบบ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อมากขึ้นนั้น ได้เตรียมจัดกำลังและยานพาหนะเพิ่ม เสริมการทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แล้ว จากเดิมที่ได้จัดตั้งศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิดขึ้น โดยระดมยานพาหนะจากทุกเหล่าทัพและตำรวจกว่า 100 คัน พร้อมเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข
ควบคุมการปฏิบัติ โดย ศปม. เข้าสนับสนุนการทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานคร (กทม.)โดยศูนย์เอราวัณ และ สธ.โดยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่อาจตกค้างหรือมีเพิ่มตามบ้านและชุมชนในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล เข้ารับการรักษาตามระบบ โดยที่ผ่านมา ตั้งแต่ 24 เม.ย.2564 ถึงปัจจุบัน ศูนย์ดังกล่าวที่ กห.จัดตั้งขึ้น ได้สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาแล้ว รวมกว่า 15,000 ราย
สำหรับขั้นตอนการทำงานร่วมกัน เมื่อได้รับแจ้งจากผู้ป่วยติดเชื้อตามบ้านหรือในชุมชน ผ่านบริการสายด่วน หมายเลข 1668 1669 และ 1330 ตลอด 24 ชม. หรือ หมายเลข 062-4427903 ศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด ที่กองทัพจัดตั้งเสริมขึ้น โดยจะประสานทำงานร่วมกันในการประเมินอาการผู้ป่วยและเตรียมสถานพยาบาลปลายทางรองรับ หลังจากนั้นจะจัดเจ้าหน้าที่และยานพาหนะไปรับถึงบ้าน เพื่อนำพาผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในระบบ ตามอาการในสถานพยาบาลระดับต่างๆ ที่จัดขึ้น เช่น ผู้ป่วยสีเขียวใน รพ.สนาม ผู้ป่วยสีเหลืองและแดงใน รพ.หลัก หรือฮอสพิเทล เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้ป่วยสีเขียวที่ติดเชื้อไม่แสดงอาการ สามารถขอรับการกักและรักษาตัวที่บ้าน ( Home Isolation ) หรือในสถานที่พักคอยของชุมชน (Community Isolation) ได้ ภายใต้มาตรการและการดูแลที่สาธารณสุขที่กำหนด
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage