สภาเภสัชกรรม ออกแถลงการณ์ร้องหยุดใช้หลายยุทธศาตร์ในเวลาเดียวกัน จี้จัดหาวัคซีนฉีดกลุ่มเสี่ยงป่วย 7 โรคเรื้อรัง-ผู้สูงอายุด่วน จี้ 'อนุทิน'-คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ'ออกระเบียบจำกัดการส่งออกวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า สยามไบโอไซส์ เป็นการชั่วคราว
.............................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2564 รศ. ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม ออกแถลงการณ์สภาเภสัชกรรม เรื่อง วัคซีนโควิด ระบุว่า สภาเภสัชกรรมขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาการระบาดและการตายจากโควิดด้วยนโยบายที่ชัดเจน 2 ประเด็นใหญ่ที่สำคัญ ประกอบด้วย
1.ยุทธศาตร์การลดอัตราตายเพื่อให้ระบบบริการสาธารณสุขรับมือได้ โดยอัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด วันละประมาณ 50-60 คน หรือ เดือนละประมาณ 1,500-1,800 คนที่เป็นอยู่ปัจจุบัน โดยเฉพาะในเขตที่มีการระบาดรุนแรง เช่น กทม. และปริมณฑล และ ภาคใต้ มีจำนวนผู้ป่วยรอบริการจำนวนมาก หากมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้ในสองสามเดือนข้างหน้า จะเกินขีดความสามารถของระบบบริการที่จะรองรับได้ และมีผลกระทบต่อระบบบริการและบุคลากรสุขภาพอย่างรุนแรง โดยที่ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิต และ ป่วยหนักจากโควิด เป็น กลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มี 7 กลุ่มโรคเสี่ยงสูง ในกลุ่มนี้ เมื่อติดเชื้อแล้ว มีความเจ็บป่วยรุนแรงต้องการระบบบริการที่ใช้บุคลากรและทรัพยากรจำนวนมากรองรับ และ ในกลุ่มนี้ มีอัตราตายถึงร้อยละ 10 ในขณะที่กลุ่มอื่นที่เหลือ มีอัตราตายร้อยละ 1 ส่วนการป้องกันความเจ็บป่วยที่รุนแรงหากติดเชื้อของกลุ่มนี้ โดยเร่งรัดให้ได้รับวัคซีนจึงมีลำดับความสำคัญเร่งด่วน
สภาเภสัชกรรมจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลรีบประกาศนโยบายการกระจายวัคซีนที่มีอยู่ไปยังกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มี 7 กลุ่มโรคเสี่ยงสูง และต้องเป็นมาตรการเดียวเท่านั้น จนทุกคนในกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนหมด ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ขณะนี้กลุ่มนี้ได้รับวัคซีนเพียง 2 ล้านคนต่อประชากรที่มีอยู่ 17.5 ล้านคน เนื่องจากประเทศไทยมีวัคซีนและระบบบริการสาธารณสุขที่จำกัด จึงขอให้หยุดใช้หลายยุทธศาตร์ในเวลาเดียวกันทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มโรงงาน กลุ่มพื้นที่เพื่อเปิดการท่องเที่ยง โดยหวังให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจและการคุ้มกันหมู่ ต้องใช้เวลานานจนทำให้อัตราตายยังสูง จนระบบบริการสาธารณสุขล่มสลาย
2. ยุทธศาตร์การจัดหาวัคซีนนั้น ต้องใช้ทุกมาตรการที่มีอยู่ในการจัดหาโดยเร่งด่วน หนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่ประเทศไทยทำได้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ แต่ต้องการความกล้าหาญทางนโยบายในการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ เช่นเดียวกับที่ นพ.มงคล ณ สงขลา กล้าหาญที่จะประกาศ CL ยาช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยการบังคับใช้ มาตรา ๔ ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และตามมาตรา 18 คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติมีอำนาจประกาศกำหนดเรื่องหนึ่งเรื่องใด ซึ่งมาตรา 18(2) ระบุ สัดส่วนการส่งออกวัคซีนไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ต้องเหมาะสมกับสัดส่วน การใช้วัคซีนภายในประเทศ
สภาเภสัชกรรมจึงขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ออกระเบียบการส่งออกของโรงงานผลิตวัคซีน โดยให้แอสตร้าซินิกา สยามไบโอไซส์ ลดสัดส่วนการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ให้เหมาะสมกับสัดส่วน การใช้วัคซีนภายในประเทศ ในการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติในวันที่ 14 ก.ค.นี้
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage