"...จําเลยทั้งสองได้ร่วมกันเรียก รับ เงินจํานวน 70,000 บาท สําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบจากนาง ส. เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ โดยนาง ส. ได้ขอจ่ายเงินจํานวนดังกล่าวก่อน 20,000 บาท และจําเลยที่ 1 ได้รับไว้ต่อหน้าจําเลยที่ 2 หลังจากนั้นจําเลยที่ 2 ได้ไปพบนาง ส. และได้มอบเลขที่บัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง ของตนเองเพื่อให้นาง ส. โอนเงินส่วนที่เหลืออีกจํานวน 50,000 บาท จากนั้น นาง ส. ได้โอนเงินจำนวน 3 ครั้ง รวม 50,000 บาท ให้.."
.......................................
จำเลยทั้งสอง ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 2 ปี 6 เดือน และปรับ 15,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี 8 เดือน และปรับ 10,000 บาท
โทษจำคุกจำเลยทั้งสอง เห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี
คือ คำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 ที่ตัดสินลงโทษ นายพิชิต ลาตวงษ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หนองแคน อำเภอปทุมรัตน์ จังหวัดร้อยเอ็ด จำเลยที่ 1 กับ นางสุจิตรา ลาตวงษ์ จำเลยที่ 2 กรณีเรียกรับเงินเพื่อช่วยเหลือให้เข้าทำงานที่ อบต.หนองแคน ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ,157 และ พ.ร.บ.ป.ป.ช.พ.ศ.2542 มาตรา 103 ประกอบมาตรา 122 ประกอบ พ.ร.บ.ป.ป.ช.พ.ศ.2561 มาตรา 192 ประกอบมาตรา 86
ตามที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
(อ่านประกอบ : รอลงอาญา คุก 2 ปี 6 ด.! อดีตนายก อบต.หนองแคน ร้อยเอ็ด เรียกเงินช่วยเข้าทำงาน)
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา สืบค้นคำพิพากษาคดีนี้ พบข้อมูลเพิ่มเติมว่า พฤติการณ์การกระทำความผิดของ นายพิชิต ลาตวงษ์ และ นางสุจิตรา ลาตวงษ์ นั้น เป็นการเรียกรับเงินเพื่อช่วยเหลือบุคคลให้เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ของ อบต.หนองแคน เป็นจำนวนเงิน 70,000 บาท ส่วนนางสุจิตรา มีสถานะเป็นภรรยาของนายพิชิต ด้วย
ปรากฎรายละเอียดตามคำฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ นายพิชิต จําเลยที่ 1 ตํารงตําแหน่งนายก อบต.หนองแคน อําเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด มีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดนโยบายโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และรับผิดชอบในการบริหารราชการของ อบต.หนองแคนให้เป็นไปตามกฎหมาย นโยบาย แผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตําบล ข้อบัญญัติ ระเบียบและข้อบังคับของทางราชการ สั่ง อนุญาต และอนุมัติเกี่ยวกับราชการของอบต.หนองแคน ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้และกฎหมายอื่น ควบคุม ดูแล และรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตําบลตามกฎหมายและเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานส่วนตําบลและลูกจ้างขององค์การบริหารส่วนตําบล ตามมาตรา 59 ประกอบมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติสภาตําบลและองค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
และมีอํานาจอนุมัติให้จ้างเหมาบริการพนักงานขับรถยนต์ของ อบต. หนองแคนโดยวิธีตกลงราคา ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ. 2538 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ในการปฏิบัติหน้าที่ของ นายพิชิต จําเลยที่ 1 ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติสภาตําบลและองค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 อีกด้วย
นางสุจิตรา จําเลยที่ 2 เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจําเลยที่ 1
เมื่อระหว่างเดือนพฤษภาคม 2551 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2552 เวลากลางวัน จําเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทําความผิดต่อกฎหมายหลายบทในลักษณะแบ่งหน้าที่กันกระทําความผิด
โดยจําเลยที่ 1 กระทําผิด จําเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุน
กล่าวคือ จําเลยที่ 1 ในฐานะนายก อบต.หนองแคนจะดําเนินการว่าจ้าง นาย บ. สามีของนาง ส. ให้เป็นพนักงานขับรถยนต์ขององค์การบริหารส่วนตําบลหนองแคน
ซึ่งการจ้างนาย บ. จําเลยที่ 1 จะต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ. 2538 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อันเป็นการกระทําในตําแหน่งที่ชอบด้วยหน้าที่ของจําเลยที่ 1
จําเลยทั้งสองได้ร่วมกันเรียก รับ เงินจํานวน 70,000 บาท สําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบจากนาง ส. เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
โดยนาง ส. ได้ขอจ่ายเงินจํานวนดังกล่าวก่อน 20,000 บาท และจําเลยที่ 1 ได้รับไว้ต่อหน้าจําเลยที่ 2
หลังจากนั้นจําเลยที่ 2 ได้ไปพบนาง ส. และได้มอบเลขที่บัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง ของตนเองเพื่อให้นาง ส. โอนเงินส่วนที่เหลืออีกจํานวน 50,000 บาท
จากนั้น นาง ส. ได้โอนเงินจำนวน 3 ครั้ง รวม 50,000 บาท ให้
เมื่อได้รับเงินจำนวน 70,000 บาท แล้ว วันที่ 29 พฤษภาคม 2552 จําเลยที่ 1 ในฐานะนายก อบต.หนองแคน ได้อนุมัติให้มีการจ้างเหมาบริการพนักงานขับรถยนต์ของ อบต.หนองแคนโดยวิธีตกลงราคา และได้ลงนามในใบสั่งจ้าง นาย บ. เป็นพนักงานขับรถยนต์ของ อบต.หนองแคน
การกระทําของจําเลยที่ 1 เป็นการกระทําของเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินสําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตําบลหนองแคน ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนโดยมิชอบหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
และการกระทําของจําเลยที่ 2 กระทําด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่จําเลยที่ 1 กระทําผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด อันเป็นการสนับสนุนจําเลยที่ 1 เจ้าพนักงานเรียก รับ ทรัพย์สิน สําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตําบลหนองแคน ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
เหตุเกิดที่ตําบลหนองแคน อําเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 90, 149, 157
เบื้องต้น จําเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ก่อนที่ศาลฯ จะมีการพิเคราะห์พยานหลักฐาน และมีคำพิพากษาว่า นายพิชิต ลาตวงษ์ จำเลยที่ 1 นางสุจิตรา ลาตวงษ์ จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 5 ปี และปรับ 30,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 20,000 บาท
จำเลยทั้งสอง ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 2 ปี 6 เดือน และปรับ 15,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี 8 เดือน และปรับ 10,000 บาท
โทษจำคุกจำเลยทั้งสอง เห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี
ส่วนกรณีที่ศาลฯ มีคำสั่งว่า โทษจำคุกจำเลยทั้งสอง เห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี นั้น
เหตุผลเป็นเพราะอะไร? ข้อมูลชุดนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมไทย
สำนักข่าวอิศรา จะนำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบอย่างละเอียดในตอนต่อไป
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage