"...ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติของประเทศอิสราเอลนั้นได้สร้างกลไกการรับรองว่าประชาชนทุกจะได้รับสิทธิที่มีความสม่ำเสมอ ซึ่งระบบนี้มีการบริหารงานโดยกองทุนที่ไม่แสวงหาผลกำไรจำนวน 4 กองทุนด้วยกัน โดยมีหลักการว่าจะต้องให้การต้อนรับกับทุกคนที่ต้องการจะเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบประกันสุขภาพที่ว่านี้ ..."
.....................
สืบเนื่องจากปรากฎเป็นข่าวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ประเทศอิสราเอลได้ออกมาประกาศยกเลิกสวมหน้ากากอนามัย ด้วยเหตุผลสำคัญ คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกที่ 3 ดีขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพราะแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประสบความสำเร็จ ขณะที่อัตราผู้ป่วยใหม่รายวัน และผู้ป่วยร้ายแรง ลดลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเร็ว ๆนี้ เว็บไซต์ www.healthaffairs.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่ความวิเคราะห์ระบบสาธารณสุขที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการฉีดวัคซีนของประเทศอิสราเอล นำเสนอต่อสาธารณชน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) แปล/เรียบเรียงบทวิเคราะห์ฉบับนี้ มานำเสนอต่อ มีรายละเอียดดังนี้
@แผนการดำเนินงานเพื่อจัดหาวัคซีนของประเทศอิสราเอล
แผนการดำเนินการจัดหาวัคซีนของประเทศอิสราเอลนั้นเริ่มต้นด้วยความพยายามอย่างจริงจังจากรัฐบาลอิสราเอล ด้วยการตั้งเป้าหมายว่าจะจัดหาทรัพยากรวัคซีนให้มีจำนวนเพียงพอ และมีการประสานงานกับผู้ที่จะดำเนินการแจกจ่ายวัคซีน
ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือน มี.ค. 2563 ประเทศอิสราเอลมีการเลือกตั้งทั่วประเทศ จึงต้องพยายามให้มีการฉีดวัคซีนกับกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ให้ได้ก่อนการเลือกตั้งดังกล่าว
โดยรัฐบาลอิสราเอลนั้นได้มีการเซ็นสัญญญากับบริษัทไฟเซอร์และบริษัทโมเดอร์นาเพื่อจะให้มีการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนขั้นต่ำอย่างน้อย 75 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร และมีรายงานว่ารัฐบาลอิสราเอลนั้นได้ยินยอมที่จะจ่ายเงินค่าโดสวัคซีนถึงโดสละ 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ (941.75 บาท) ซึ่งมากกว่าที่ประเทศอื่นๆจ่ายถึงเกือบ 2 เท่า เพื่อจะให้ได้วัคซีนมาใช้งานตามเป้าหมาย
นอกจากจำนวนเงินที่จ่ายไปแล้ว มีรายงานด้วยว่า ประเทศอิสราเอลนั้นมีข้อตกลงกับทางบริษัทไฟเซอร์ซึ่งยังเป็นข้อครหาอยู่ โดยประเทศอิสราเอลจะทำหน้าที่เป็นประเทศนำร่องสำหรับการวิจัยวัคซีน ซึ่งทางรัฐบาลจะมีการส่งข้อมูลไปให้กับทั้งทางบริษัทไฟเซอร์และองค์การอนามัยโลกหรือ WHO โดยข้อมูลที่ถูกส่งไปนั้นจะมีรายละเอียดได้แก่อายุ,เพศ,ประวัคิการรักษาพยาบาลของผู้ที่ถูกฉีดวัคซีน รวมไปถึงข้อมูลของผู้ที่ถูกฉีดวัคซีนและข้อมูลประสิทธิภาพของวัคซีน ซึ่งทางรัฐบาลอิสราเอลยืนยันว่าข้อมูลของคนไข้นั้นจะถูกเก็บเป็นความลับเป็นอย่างดี
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีความกังวลทั้งในประเด็นเรื่องข้อมูลสิทธิส่วนบุคคล และความโปร่งใสของทางรัฐบาลเกิดขึ้น
ประเทศอิสราเอลรับวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ลอตแรกเมื่อเดือน ธ.ค. 2563 โดยมีนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลเป็นผู้ไปรับวัคซีน (อ้างอิงวิดีโอจาก Ruptly)
@ระบบโครงสร้างพื้นฐานในระดับชุมชน
ความสำเร็จอีกประการของประเทศอิสราเอลก็คือระบบสุขภาพแบบองค์รวมของประเทศอิสราเอล ซึ่งมีความเป็นผู้นำในระดับโลกในด้านการจัดการวัคซีน การเข้าถึงประชากร และกระบวนการติดตามการฉีดวัคซีน
โดยระบบประกันสุขภาพแห่งชาติของประเทศอิสราเอลนั้นได้สร้างกลไกการรับรองว่าประชาชนทุกจะได้รับสิทธิที่มีความสม่ำเสมอ ซึ่งระบบนี้มีการบริหารงานโดยกองทุนที่ไม่แสวงหาผลกำไรจำนวน 4 กองทุนด้วยกัน โดยมีหลักการว่าจะต้องให้การต้อนรับกับทุกคนที่ต้องการจะเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบประกันสุขภาพที่ว่านี้
ถ้าหากมีการรักษาที่กองทุนไม่ได้ครอบคลุม ค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่เหลือนั้น ทางรัฐบาลจะเป็นผู้ที่ออกเงินสนับสนุนด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งระบบดังกล่าวนั้นจะได้รับการสนับสนุนจากภาษีสุขภาพที่มาจากการหักเงินเดือนของประชาชนในประเทศอิสราเอล
ซึ่งจากการที่แพคเกจของการบริการนั้นถูกกำหนดให้มีความเป็นมาตรฐานเหมือนกันอยู่แล้ว หมายความว่าแต่ละกองทุนนั้นก็จะต้องมีสภาวะแข่งขันกันเองโดยตลอดทั้งคุณภาพและความพร้อมในการครอบคลุมการให้บริการ ดังนั้นแต่ละกองทุนจึงได้มีการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จะดำเนินการรักษาให้กับสมาชิกของระบบอย่างใกล้ชิด โดยทั้งหมดนี้ถือเป็นทรัพยากรที่มีค่าอย่างยิ่งในการดำเนินการจัดการและบริหารเรื่องวัคซีนโควิด-19
โดยการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับชุมชนต่างๆอย่างทั่วถึง ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้กองทุนสุขภาพหลีกเลี่ยงจากภาวะที่ต้องเสียวัคซีนไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งในกระบวนการแจกจ่ายวัคซีนนั้น มีรายงานว่าได้มีการจัดตั้งศูนย์การฉีดวัคซีนจำนวนกว่า 230 แห่งทั่วประเทศ
โดยในบางพื้นที่ได้เปิดให้บริการการฉีดวัคซีนเป็นระยะเวลาตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน และยังมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่คล้ายกับสภากาชาดแต่เป็นของประเทศอิสราเอลเดินทางเข้าไปฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราด้วยอีกทางหนึ่ง
แต่ถึงกระนั้น อุปสรรคสำคัญที่ทางกองทุนสุขภาพของอิสราเอลไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนก็คือโครงสร้างการขนส่งวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ที่ต้องใช้อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส เพื่อจะรักษาวัคซีนเอาไว้
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียวัคซีน ทางกองทุนที่รับผิดชอบฉีดวัคซีนจึงได้มีการบรรจุแพคเกจวัคซีนใหม่ ในกรณีที่จะต้องมีการจัดส่งวัคซีนไปยังศูนย์ฉีดวัคซีนที่มีขนาดเล็ก ในพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกล โดยในกรณีวัคซีนของไฟเซอร์นั้นจะมีการแพควัคซีนจากบริษัทเป็นจำนวนทั้งสิ้น 195 ขวด ก็จะมีการแพควัคซีนใหม่ให้เหลือจำนวน 10 ขวด 15 ขวด หรือ 50 ขวด เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดของศูนย์ฉีดวัคซีนที่จะถูกกระจายออกไป
นอกจากนี้กองทุนสุขภาพยังรักษาเครือข่ายข้อมูลดิจิทัลทั่วประเทศซึ่งมีบันทึกทางการแพทย์ของผู้ป่วยทั้งหมดรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาในโรงพยาบาลที่ผ่านมา,ข้อมูลการสั่งยาต่างๆ ซึ่งทำให้สามารถระบุตัวตนของผู้ที่เป็นประชากรกลุ่มเสี่ยง และดำเนินการให้วัคซีนกับประชากรกลุ่มนี้พร้อมทั้งติดตามผลข้างเคียงได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากกลุ่มประชากรกลุ่มเสี่ยงนั้นส่วนมากแล้วจะได้รับการรักษาในชุมชน นอกพื้นที่โรงพยาบาล ดังนั้นจึงเป็นการยากอย่างยิ่งสำหรับการเข้าถึง
ประโยชน์อีกประการของระบบดิจิทัลที่ว่าก็คือ จะเป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งที่จะป้องกันไม่ให้กลุ่มประชากรที่มีความสำคัญต่ำลัดคิวจากการได้รับวัคซีนก่อนกลุ่มที่มีความสำคัญได้
ประเทศอิสราเอลประกาศยกเลิกมาตรการการใส่หน้ากากในที่สาธารณะ (อ้างอิงวิดีโอจาก WION)
เรียบเรียงจาก:https://www.healthaffairs.org/do/10.1377/hblog20210312.994210/full/
ทั้งนี้ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าความสำเร็จของประเทศอิสราเอลส่วนหนึ่งนั้นมาจากจำนวนประชากรที่เล็กกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆประเทศก็จริง
แต่ถ้าหากประชาชนไม่ยอมรับและเชื่อมั่นในระบบประกันสุขภาพของประเทศอิสราเอลที่ถือว่ามีประสิทธิภาพ ถ้าหากไม่มีการลงทุนจ่ายเงินเพื่อวัคซีนแม้ว่าจะมีราคาแพงกว่าประเทศอื่นก็ตาม และถ้าหากไม่มีระบบการเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุม ผนวกกับการเข้าถึงประชาชนของบุคลากรในระบบสาธารณสุข
ถ้าหากขาดปัจจัยเหล่านี้ ก็คงจะเป็นการยากที่ประเทศอิสราเอลจะประสบความสำเร็จในการฉีดวัคซีนตามที่ปรากฎเป็นข่าวในทุกวันนี้
ซึ่งกรณีของประเทศอิสราเอลนั้นก็คงจะถือว่าเป็นตัวอย่างให้กับประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยในการจะวางแนวทางระบบสาธารณสุขเพื่อรับมือกับโรคระบาดในอนาคตต่อไป
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/