"...จากคำตัดสินของ กปปส. ตรงนี้ และในหลายๆ คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวชุมนุมอื่น แม้จะเป็นสิทธิ์ที่ถูกต้องตามฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเราทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้เห็นชัดเจนว่า น่าจะทำให้คนกังวลอยู่ในระดับหนึ่ง หากจะมีการเคลื่อนไหวอีก..."
..............................................................................
2 คืนในเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ ทำให้ 3 รัฐมนตรี อดีตแกนนำกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ต้องพ้นจากตำแหน่ง
หนึ่งในนั้น คือ ‘ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ’ ที่ต้องอำลาเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หลังทำหน้าที่ได้เพียง 1 ปี 6 เดือน
ตัวเขาและภรรยา ‘ทยา ทีปสุวรรณ’ ยังเป็น 2 ใน 6 คนที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เส้นทางชีวิตนักการเมืองต่อจากนี้เป็นอันยุติลงชั่วคราว
"ไม่เสียใจ แต่เสียดายที่ไม่ได้ไปต่อในฐานะรัฐมนตรี" หนึ่งในข้อความวันอำลาตำแหน่ง เขาเล่าว่า เสียดายที่ไม่ได้ไปทำงานอีกหลายอย่าง ส่วนเรื่องตำแหน่ง ไม่ได้ยึดติด และจากนี้คงหันหน้ากลับไปทำธุรกิจการศึกษา-การท่องเที่ยวที่ตนเองถนัด
"ผมคงกลับไปซื้อหุ้นโรงเรียน ตอนนั้นขายไปเพราะไม่อยากให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน และคงทำสถานที่ พวกกีฬาเอ็กซ์ตรีม ลานสเก็ต หากมีจังหวะที่เหมาะสมชัดเจน ผมคงกลับไปทำเรื่องการศึกษาและกีฬา ซึ่งเป็นสิ่งที่ถนัดอยู่แล้ว"
ก่อนถูกตัดสินโทษจำคุก 6 ปี 16 เดือน เขายอมรับว่า คำพิพากษาหนักกว่าที่คิด และยังไม่คาดคิดว่าบางคน รวมถึงภรรยาของเขาจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย
"วันนั้นคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะหลุดจากรัฐมนตรี แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาที่เราต่อสู้คดี เรามีความมั่นใจระดับหนึ่ง เราคิดว่ามีโอกาสประมาณ 20% ที่จะถูกจำคุก แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่า ความมั่นใจนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับท่านผู้พิพากษาที่จะพิจารณาคดี ดังนั้นก่อนเดินทางไปศาลเราขจึงไม่ได้เตรียมใจอะไรไว้ขนาดนั้น"
"สิ่งที่คิดว่าหนัก คือไม่คิดว่าจะไม่ได้ประกัน ผมคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหา แต่ก็เข้าใจครับว่ามีเหตุผลอะไรก็ว่ากันไป ต้องยอมรับ ที่ผ่านมาเราสู่กระบวนการยุติธรรมตลอด ไม่หนี ไม่หลบ ไม่เลื่อน เพราะต้องการทำให้กระบวนการยุติธรรมศักดิ์สิทธิ์ จากนี้ก็สู้กันไป ก็เป็นเรื่องของกระบวนการอุทธรณ์ต่อ"
ช่วงเวลา 2 คืนในเรือนจำ ‘ณัฏฐพล’ บอกว่า โชคดีที่เป็นคนกินง่าย อยู่ง่าย ทำให้ปรับตัวได้เร็ว ช่วงกลางวันไปเล่นวอลเลย์บอล-ตีปิงปอง บางจังหวะอ่านหนังสือ ส่วนช่วงค่ำคืน เขานอนข้าง ‘พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์’ อดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
"พวกเรานอนใกล้ๆกัน ผมนอนข้างบี (พุทธิพงษ์) ส่วนฝั่งตรงข้ามมีพี่แซมดิน (ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์) ผมกับพี่แซมดิน นอนติดห้องสุขา มันมีจังหวะที่น้ำซึมออกมา เราก็ต้องเอาผ้าของตัวเองไปซับน้ำไว้ กลายเป็นว่าน้ำไหล แต่เราไม่มีผ้าปู ไม่มีผ้าห่มแล้ว ก็เป็นอะไรที่ต้องปรับตัวกันไปตามสภาพ (หัวเราะ)"
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับคำว่า 'เสร็จศึกฆ่าขุนพล’ เขาตอบทันที "ไม่อยากคิด เพราะคิดไปแล้วไม่มีคำตอบ"
"อย่าไปคิดดีกว่า ถ้าคิดแล้วเป็นแบบนั้นจริงก็คงเสียใจ แต่ถ้าคิดแล้วไม่เป็นแบบนั้น เราก็ผิดพลาดที่ไปคิดตรงนั้น แต่เราจะไม่มีวันรู้คำตอบ ดังนั้นเราจะไปตั้งคำถามนี้ทำไม ดังนั้นผมไม่คิดเลยดีกว่า"
เมื่อถามถึงข้อความแรกของ ‘พุทธิพงษ์’ หลังพ้นเรือนจำ "หมดแรง หมดใจ หมดศรัทธา เพราะสิ่งที่ทำมันไร้ค่า ไร้ราคาสิ้นดี ?" ในฐานะเพื่อน - คู่ซี้สาย กทม.ร่วมทางการเมืองตั้งแต่ พรรคประชาธิปัตย์ - แกนนำ กปปส. – พรรคพลังประชารัฐ เขาเชื่อว่า ไม่ใช่เรื่องน้อยใจอะไร แต่เป็นความคิดที่รู้สึกกดดันเท่านั้น
"ก็เห็นใจครับ แต่ผมคิดว่าเป็นแค่จังหวะหนึ่งเท่านั้น บีเขาเป็นคนเข้มแข็งพอสมควร คงเป็นช่วงกดดัน หากให้ผมดูจากสภาพที่นอนที่ต้องเอาผ้าปิดตา เพราะเราต้องนอนในที่ที่เปิดไฟตลอดเวลา เมื่อคนเราไม่ได้นอน นอนไม่หลับก็ต้องคิด แล้วเครียด และเกิดแรงกดดัน แต่ผมมั่นใจในความเข้มแข็งของเพื่อน ผมมั่นใจว่าบีไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นในส่วนลึกของหัวใจ ผมมั่นใจว่า เขาจะกลับมาได้ และเขาจะกลับมาแข็งแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเขาเป็นนักคิด และกล้าทำอะไรในอีกหลายๆอย่าง"
14 ปีในฐานะนักการเมือง ถูกปิดฉากหลังต้องคำพิพากษา - ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ‘ณัฏฐพล’ ยืนยัน ไม่ใจหาย ไม่ยึดติด แต่ยังมีห่วง-หวังถึงกลุ่มมก๊วน และพรรคพลังประชารัฐ ต้นสังกัดสุดท้ายก่อนพ้นจากตำแหน่ง
"ผมไม่ได้ยึดติดกับอาชีพนักการเมือง ที่เข้ามาเพราะอยากเปลี่ยนแปลงประเทศในทางที่ดีขึ้น แต่เป็นห่วงน้องๆ ทีมงานที่เราอยู่ด้วยกัน แผนงานที่เราจะทำใน กทม. เป็นงานที่เราเสียดายว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำต่อ แต่ผมไม่ใช่คนที่จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองแล้วจะเข้ามามีบทบาทใดๆ อาจได้พูดคุยกันในฐานะพี่น้อง แต่คงไม่มาเคลื่อนไหวอะไรอีก เพราะทำอย่างนั้นผมก็จะลำบากใจมากๆ เพราะต้องเคารพในกติกา เคารพในกระบวนการยุติธรรม"
"คนที่เคยอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันจะมีอุดมการณ์ที่คล้ายกัน ส่วนคนอื่นอาจมีความคล้ายกันบ้าง ความต่างกันบ้าง รวมถึงน้องๆ ที่อยู่ใน กทม.อาจจะมีกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจในอุดมการณ์ของเรา รวมแล้วไม่ได้มีเยอะมาก อาจจะมีสัก 20 คนที่เรียกว่าเป๊ะด้วยกันทุกอย่าง ผมเชื่อว่างานบางอย่างพวกเขาคงสานต่อกันได้ และผมคงไม่ไปเกี่ยวข้องหรือผลักดันอะไร"
ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง – ร่วมเปิดทางพรรคน้องใหม่สู่แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ‘ณัฏฐพล’ หวังเห็น พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นสถาบันทางการเมืองขนาดใหญ่ในอนาคต พร้อมย้ำ ยังเป็นกำลังใจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค
"ท่านทั้งสองเป็นผู้ที่มีความกรุณาให้โอกาสผมทำงาน ผมคิดว่าผมทำงานกับท่านได้ดีทั้งสองท่าน ฉะนั้นไม่ได้ห่วงตรงนี้ ผมเป็นกำลังใจให้ท่าน ทราบว่าท่านมีแรงกดดันหลายเรื่อง ไม่ใช่การเมืองอย่างเดียว แต่มีเศรษฐกิจ ปากท้อง และโควิดเข้ามารุมเร้า ต้องให้กำลังใจ เพราะท่านเป็นผู้นำของประเทศ ถ้าไม่ให้กำลังใจประเทศจะไปได้อย่างไร ผมว่าตอนนี้ เรายังไม่พร้อมที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อล้มกระดานแล้วมากลับมาทำอะไรกันใหม่"
เมื่อถามว่า หากย้อนกลับไปได้ยังคิดที่จะออกมาต่อสู้ในนาม กปปส. หรือไม่ เขาบอกว่า "ทำอยู่แล้ว และไม่เคยเปลี่ยนใจ"
"ตั้งแต่ก่อนออกมาเดินบนถนน พวกเราคุยกัน ผมฝากหลานไว้กับพ่อแม่ บอกลูกให้อยู่กับปู่ย่าตายาย วันนั้นที่เราตัดสินใจออกมาเคลื่อนไหว เรารู้ว่าอาจโดนข้อหาบกบฏ โทษหนักสุดคือประหารชีวิต หรืออาจจะออกมาแล้วถูกจับภายในวันเดียวก็ได้ ทั้งหมดเราเตรียมใจไว้ตั้งแต่วันนั้น ผมรู้ว่ามีความเสี่ยง แต่เรากำลังทำในสิ่งที่เรายึดมั่นในความถูกต้องเพื่ออุดมการณ์ของเราเอง และเราเห็นคนเป็นล้านๆที่คิดแบบเดียวกัน"
"ถ้าถามว่าทำอีกหรือไม่ ถ้าต้องต่อสู้กับการทุจริต การนิรโทษกรรมที่ไม่ถูกต้อง และการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะกับประเทศไทยที่ทำให้ประเทศเลวร้ายไปกว่าเดิม เราก็สู้ตรงนั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"
เมื่อถามถึงโอกาสที่ กปปส. จะเข้าไปเผชิญหน้ากับการชุมนุมครั้งใหม่ เขาตอบทันที ว่า "ผมว่าการเคลื่อนไหวบนถนน น่าจะใกล้จบแล้วครับ"
"จากคำตัดสินของ กปปส. ตรงนี้ และในหลายๆ คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวชุมนุมอื่น แม้จะเป็นสิทธิ์ที่ถูกต้องตามฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเราทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้เห็นชัดเจนว่า น่าจะทำให้คนกังวลอยู่ในระดับหนึ่ง หากจะมีการเคลื่อนไหวอีก"
ถามย้ำว่า คำพิพากษาคดี กปปส.อาจเป็นเหมือนบรรทัดฐานให้กับการชุมนุมทางการเมืองกลุ่มอื่น เขาตอบว่า "ผมคิดอย่างนั้นนะครับ แล้วถ้าหากใครจะออกมาแบบพวกผม ไม่ได้บอกว่าบ้าบิ่น แต่จะออกมาแบบนี้ จะมาเสี่ยงทั้งชีวิต การงาน ครอบครัวตรงนี้ บังเอิญช่วงนั้นเราอาจจะคุยกันว่า เราพร้อมหรือไม่ บังเอิญพวกเราพร้อมก็เลยทำได้ เราอยู่ในสถานะที่จะนำได้ แต่การเคลื่อนไหวทุกอันจะได้แรงสนับสนุนจากประชาชน ต้องทำให้ประเทศดีขึ้น หรือหวังว่าประเทศจะดีขึ้น วันนี้ ทุกๆ คนต้องคิดว่ามีองค์ประกอบหลายอันที่ทำให้การเคลื่อนไหวประชาชนประสบความสำเร็จ"
ทั้งหมดความในใจของ ‘ณัฏฐพล’ ผู้ที่ต้องอำลาเก้าอี้รัฐมนตรี เดินทางต่อบนเส้นทางคดี - วิบากกรรมในฐานะแกนนำ กปปส.
(หมายเหตุ : ที่มาภาพชุมนุม กปปส. จาก Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)
อ่านประกอบ :
กกต.ส่งศาล รธน.วินิจฉัยความเป็น รมต.-ส.ส. 5 อดีตแกนนำ กปปส.โดนศาลสั่งคุก
'สุเทพ'เสียใจมาก'ตั้น-บี'พ้น รมต.! 8 กปปส.ได้ประกัน วงเงิน 8 แสน-ห้ามออกนอก ปท.
8 จำเลยคดีชุมนุม กปปส.นอนคุกต่อ! ศาลอุทธรณ์ยังไม่มีคำสั่งให้ประกันตัวหรือไม่
กาง รธน.-สแกนจำเลย กปปส.โดนกี่เด้ง? เลื่อน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์-‘ทยา’อดชิงผู้ว่า กทม.
‘ณัฏฐพล-พุทธิพงษ์-ถาวร’หลุด รมต.! 'วิษณุ'คอนเฟิร์ม-รธน.ระบุชัดโดนคุกต้องพ้นเก้าอี้
'สุเทพ-3 รมต.'นอนคุก! รออุทธรณ์พิจารณาให้ประกันหรือไม่หลังศาลพิพากษาคดีม็อบ กปปส.
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage