“...เท่ากับว่านอกเหนือจาก ป.ป.ช. ส่งสำนวนพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาแล้ว ยังต้องส่งสำนวนพร้อมความเห็นไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้บังคับบัญชานายนิพนธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา พิจารณาโทษทางวินัยด้วย โดยตามแนวทางปฏิบัติใหม่ของกระทรวงมหาดไทย เมื่อนายนิพนธ์ ถูกชี้มูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จึงเข้าเงื่อนไขที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดได้ และผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่อาจตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนซ้ำได้อีก…”
............................
เป็นอีกหนึ่งคำสั่งที่กระชับหน้าที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงตำแหน่งของเจ้าหน้าที่รัฐ!
กรณีปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามหนังสือแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกแห่ง ให้รับทราบแนวทางปฏิบัติกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ชี้มูล ความผิดนายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี ประธานสภา และรองประธานสภา ให้ใช้สำนวนไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนออกจากตำแหน่ง ภายใน 30 วัน โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนซ้ำอีก
โดยความผิด 3 ฐานหลัก ที่คณะกรรมการป.ป.ช. ชี้มูลแล้วอันได้แก่ความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เมื่อ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยแล้ว ไม่ต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยซ้ำอีก อย่างไรก็ดีหากเป็นความผิดวินัยฐานอื่นที่ไม่ได้อยู่ในความเป็น 3 ฐานดังกล่าวคณะกรรมการป.ป.ช. ย่อมไม่สามารถมีมติชี้มูลความผิดวินัยได้ และจะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงการสอบสวนผู้ดำรงตำแหน่งบางตำแหน่ง (อ่านประกอบ : ถอดถอนภายใน 30 วัน! มท.แจ้งคำสั่ง ผู้บริหารท้องถิ่น โดน ป.ป.ช.ชี้มูลผิดไม่ต้องสอบสวนซ้ำ)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เบื้องหลังการออกแนวทางปฏิบัติดังกล่าวของกระทรวงมหาดไทย เกิดขึ้นภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งไม่รับคำร้อง ป.ป.ช. เมื่อเดือน มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งขอหารือในประเด็นเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ในการชี้มูลความผิดทางวินัยแก่เจ้าหน้าที่รัฐ
เนื่องจากเห็นว่าที่ผ่านมาศาลปกครอง มีคำพิพากษาว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจไต่สวน และชี้มูลความผิดทางวินัยฐานอื่น นอกจากความผิดฐานทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ นอกจากนี้ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาบางกรณี ไม่ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาภายใน 30 วันนับแต่ได้รับเรื่อง โดยอ้างว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจชี้มูลความผิดวินัยฐานอื่นที่มิใช่ฐานทุจริตต่อหน้าที่ และอ้างว่าผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากราชการเกิน 180 วันหรือเกิน 1 ปีแล้วไม่สามารถลงโทษได้
โดยศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะใช้หน้าที่และอำนาจในการไต่สวนและวินิจฉัยชี้มูลความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้ จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม อันเป็นความผิดมูลฐานตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เสียก่อน หากมีความผิดที่เกี่ยวข้องอื่นกับความผิดมูลฐานดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงจะมีหน้าที่และอำนาจชี้มูลความผิดทางวินัยอันเป็นความผิดเกี่ยวข้องกันได้
ประเด็นปัญหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาดังกล่าว มีประเด็นปัญหาเดียวกันกับประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยพิจารณาวินิจฉัยแล้วในคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 51/2561 ว่า พ.ร.บ.ป.ป.ช.ปี 2561 มาตรา 91 บัญญัติว่า เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนและมีมติวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือความผิดที่เกี่ยวข้องกัน สามารถชี้มูลความผิดทางอาญา และทางวินัยได้ ส่วนมาตรา 101 วรรคหนึ่ง เกี่ยวกับผู้ซึ่งถูกลงโทษตามาตรา 98 มีสิทธิร้องต่อศาลปกครองได้ ขณะที่มาตรา 98 วรรคสอง บัญญัติเกี่ยวกับกรณีผู้ถูกลงโทษนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองโดยมิได้ฟ้องคดีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ศาลปกครองแจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบ และมีสิทธิเข้ามาเป็นคู่กรณีด้วยได้นั้น
จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว จึงมีความชัดเจนในประเด็นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว กรณีนี้จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (2) และมาตรา 44 ได้อีก อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย (อ่านประกอบ : ศาล รธน.คอนเฟิร์ม! ป.ป.ช.ฟันวินัย จนท.รัฐผิดฐานอื่นได้-ต้องไต่สวนจากผิดเรื่องทุจริตก่อน)
อธิบายให้เข้าใจง่ายคือ ศาลรัฐธรรมนูญ ‘คอนเฟิร์ม’ แล้วว่า ป.ป.ช.มีอำนาจในการพิจารณาและชี้มูลความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และหากผิดเกี่ยวข้องอื่นกับความผิดมูลฐานข้างต้น ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ชี้มูลผิดทางวินัยได้ด้วย
อย่างไรก็ดีปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางวินัยแก่ผู้บริหารท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เมื่อส่งสำนวนไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาลงโทษทางวินัย กลับมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยซ้ำ ส่งผลให้บุคคลที่ถูกชี้มูลดังกล่าวบางรายยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่
บางครั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย มีมติไม่ถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ส่งผลให้มีการไปฟ้องต่อศาลปกครองเป็นจำนวนมาก และทำให้กระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. เกิดความยากลำบากมากขึ้น?
ยกตัวอย่าง กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางอาญา และทางวินัยแก่ ‘นาย ก’ (นามสมมติ) ผู้บริหารระดับสูงของเทศบาลตำบลกงไกรลาศ อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย โดยทางวินัยได้สำนวนไปยัง รมว.มหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เพื่อดำเนินการลงโทษ อย่างไรก็ดีทางจังหวัดสุโขทัยกลับไม่ได้ดำเนินการลงโทษตามผลการพิจารณาของ ป.ป.ช. กลับมีตั้งคณะกรรมการสอบสวนซ้ำขึ้นมาอีก (อ่านประกอบ : กางกม.‘ป.ป.ช.-มหาดไทย’ ไขปมผู้ว่าฯสุโขทัยตั้งกก.สอบบิ๊กเทศบาลซ้ำหลังถูกชี้มูลได้ไหม?)
นั่นจึงนำไปสู่คำสั่งของกระทรวงมหาดไทยในกรณีนี้ เพื่อ ‘สะสางปัญหา’ ดังกล่าวให้ชัดเจน
สำหรับคดีสำคัญที่อยู่ระหว่างการจับตาจากสาธารณชน และว่ากันว่าจะถูกฝ่ายค้านนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร ช่วงกลางเดือน ก.พ. 2564 นั้น คือกรณีกล่าวหานายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย 1 ใน 10 ชื่อที่ถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรายบุคคลด้วย
นายนิพนธ์ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญา และทางวินัยไปแล้ว 1 คดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา กรณีละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ไม่เบิกจ่ายเงินให้เอกชนในโครงการจัดซื้อรถเอนกประสงค์ วงเงิน 50 ล้านบาทเศษ ปัจจุบันสำนวนอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานอัยการปราบปรามการทุจริต ภาค 9 (อ่านประกอบ : สนง.อัยการปราบทุจริตฯภาค 9 ตั้งคณะทำงานพิจารณาคดี‘นิพนธ์’-ขีดเส้นเสร็จใน 90 วัน)
เท่ากับว่านอกเหนือจาก ป.ป.ช. ส่งสำนวนพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาแล้ว ยังต้องส่งสำนวนพร้อมความเห็นไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้บังคับบัญชานายนิพนธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา พิจารณาโทษทางวินัยด้วย โดยตามแนวทางปฏิบัติใหม่ของกระทรวงมหาดไทย เมื่อนายนิพนธ์ ถูกชี้มูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จึงเข้าเงื่อนไขที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดได้ และผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่อาจตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนซ้ำได้อีก
เช่นเดียวกับกรณีของนายพิบูลย์ รัชกิจประการ ส.ส.สตูล พรรคภูมิใจไทย (น้องชายนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด การอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารโรงแรมสินเกียรติธานี หรือโรงแรมสินเกียรติบุรี โดยมิชอบ ของเทศบาลเมืองสตูล จ.สตูล ในยุคที่นายพิบูลย์ ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองสตูล ป.ป.ช. จะต้องส่งสำนวนทางวินัย พร้อมความเห็นไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการ ส่วนคดีอาญาปัจจุบันศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 มีคำสั่งให้แยกฟ้องนายพิบูลย์กับพวกเป็นอีกสำนวนหนึ่ง (อ่านประกอบ : คดีอนุญาตสร้าง รร.สินเกียรติธานี! ศาลจำคุก 2 จนท.- 'พิบูลย์-พวก 4 ราย' แยกฟ้องใหม่)
ต้องรอดูว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล จะดำเนินการถอดถอนนายนิพนธ์ เมื่อครั้งเป็นนายก อบจ.สงขลา และนายพิบูลย์ เมื่อครั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองสตูล หรือไม่?
ประเด็นที่น่าสนใจรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (8) บัญญัติบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. กรณีเคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ
ขณะที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) บัญญัติให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลงหากมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (6) บัญญัติให้รัฐมนตรีต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98
ดังนั้นหากมีการถอดถอนเกิดขึ้น นายนิพนธ์ ที่ปัจจุบันเป็น รมช.มหาดไทย และนายพิบูลย์ ที่ปัจจุบันเป็น ส.ส.สตูล พรรคภูมิใจไทย อาจหลุดเก้าอี้ด้วยหรือไม่?
เป็นอีกหนึ่งเงื่อนปมที่ต้องรอดูกันต่อไป!
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage