“...นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเอง ละเมิดหลักนิติรัฐ นิติธรรม และสิทธิมนุษยชน ทำลายระบบคุณธรรมในระบบราชการ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม การบริหารราชการแผ่นดินของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศทั้งระบบ เศรษฐกิจ สังคม และกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง…”
................................
เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2564 ที่รัฐสภา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยื่นญัตติถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 10 ราย พร้อมบรรยายข้อกล่าวหาไว้ด้วย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำรายละเอียดมานำเสนอให้ทราบ ดังนี้
1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
ถูกกล่าวหาว่า บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภูมิปัญญา ไร้ความสามารถ ไร้คุณธรรม จริยธรรม ไร้ภาวะผู้นำ ไร้จิตสำนึกและความรับผิดชอบ มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริต ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตเพื่อสร้างความร่ำรวย มั่งคั่งให้กับตนเองและพวกพ้อง ท่ามกลางภาวะที่ประชาชนดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก และมีการระบาดของโควิด-19 ยิ่งทำให้สภาพเศรษฐกิจดิ่งเหว ทั้งหมดเกิดจากการบริหารผิดพลาดของตนเอง มีการใช้อำนาจแลกผลประโยชน์ทำให้การทุจริตแพร่กระจายไม่ต่างจากโรคระบาด จนได้ชื่อว่าเป็นยุคที่การทุจริต เฟื่องฟู เบ่งบานมาที่สุด ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เปิดเผย ปกปิดการกระทำความผิดของตนเองและพวกพ้อง ไม่มีความรอบคอบ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน ไม่รักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ มุ่งประโยชน์แต่การสร้างความนิยมชมชอบให้กับตนเอง โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน กระทำการอันเป็นขัดกันแห่งผลประโยชน์ สร้างความแตกแยกในสังคม
ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์และทำลายผู้เห็นต่าง ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนและสื่อมวลชน ปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนพนันกระจายไปทั่ว ไม่ยึดมั่นและศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำลายและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเอง
ละเมิดหลักนิติรัฐ นิติธรรม และสิทธิมนุษยชน ทำลายระบบคุณธรรมในระบบราชการ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม การบริหารราชการแผ่นดินของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศทั้งระบบ เศรษฐกิจ สังคม และกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง
2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
ถูกกล่าวหาว่า ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ใช้งบประมาณของรัฐเพื่อสร้างความร่ำรวย มั่งคั่งให้กับตนเอง ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จงใจปฏิบัติหน้าที่ต่อรัฐธรรมนูญ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ แสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองและพวกพ้อง ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
3.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข
ถูกกล่าวหาว่า บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องอย่างร้ายแรง ไร้ประสิทธิภาพ และไร้ความสามารถ ไม่ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มีการแพร่ระบาดในรอบสองอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ปกปิด อำพรางการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรค เพื่อเปิดช่องให้มีการทุจริต แสวงหาผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ดำเนินนโยบายที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
4.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์
ถูกกล่าวหาว่า บริหารราชการแผ่นดิน บกพร่อง ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภูมิปัญญา ไร้ความสามารถ ไร้คุณธรรม จริยธรรม ไร้ภาวะผู้นำ ไร้สำนึก ไร้ความรับผิดชอบ ลอยตัวหนีปัญหา เลือกปฏิบัติ พูดอย่างทำอย่าง ไม่ยึดถือหลักธรรมาภิบาล และไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี แต่งตั้งบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ เข้ามาเพียงเพื่อแสวงหาประโยชน์แก่ตนเอง และพวกพ้อง ในลักษณะแบ่งแยกหน้าที่กันทำ ทุจริตในหน่วยงานที่กำกับ มีพฤติกรรมฉ้อฉล ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต จงใจปกปิดข้อมูล ปกป้องการทุจริตและแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ใช้อำนาจด้วยความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เสียสละ ไม่เปิดเผย และไม่มีความรอบคอบ ระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม ผลของการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้หน่วยงานของรัฐในกำกับเกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างร้ายแรง
5.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน
ถูกกล่าวหาว่า บริหารราชการผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง ไร้ประสิทธิภาพ ปล่อยปละละเลยให้มีการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ใช้แรงงาน ไม่กำกับควบคุมใช้แรงงานต่างด้าวให้เป็นระบบ จนเกิดแรงงานผิดกฎหมายจำนวนมาก สร้างผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนส่งผลเสียหายแก่ประเทศและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง กระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างร้ายแรง ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีพฤติการณ์ใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง สร้างความแตกแยกให้เกิดในสังคม ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังระหว่างผู้ที่เห็นต่าง ละเมิดหลักนิติรัฐ
6.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย
ถูกกล่าวหาว่า บริหารราชการแผ่นดินโดยมิได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม แต่กลับใช้อำนาจในการแต่งตั้งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ เพื่อตนเองและพวกพ้อง ใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อวางแผนในการทุจริตอย่างเป็นระบบและแยบยล ปล่อยปละละเลยให้องค์กรในกำกับมีการทุจริตอย่างกว้างขวาง ใช้อำนาจด้วยความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เสียสละ ไม่เปิดเผย แต่กลับปกปิดการกระทำความผิดของตนและบุคคลแวดล้อม ไม่ยึดถือและไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องอย่างร้ายแรง ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
7.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ
ถูกกล่าวหาว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่เคารพหลักสิทธิมนุษยชน ละเว้นและบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภูมิปัญญา ไร้ความสามารถ ไร้คุณธรรมจริยธรรม ไร้สำนึก ไร้ความรับผิดชอบ ขาดวุฒิภาวะและความเป็นผู้นำที่ดี ใช้อำนาจแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำในลักษณะกดขี่ข่มเหงข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้มีบุคคลหลายรายชื่อเป็นพวกพ้องของคนเข้าสู่ตำแหน่ง และแสวงหาประโยชน์โดยการทุจริต มีพฤติกรรมฉ้อฉล ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต จงใจปกปิดข้อมูลเพื่อปิดบังการทุจริต ผิดรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบ ไม่ยึดหลักนิติธรรม เลือกปฏิบัติ ไม่ยึดถือหลักธรรมภิบาล และไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
8.นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย
ถูกกล่าวหาว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
9. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์
ถูกกล่าวหาว่า บริหารราชการแผ่นดินผิดพลาดบกพร่อง ล้มเหลวอย่างร้ายแรง ไร้ประสิทธิภาพ มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ และกระทำการอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ แสวงหาประโยชน์อันมิควรได้ โดยชอบด้วยกฎหมาย ใช้งบประมาณของรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง โดยไม่รักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด ปกปิดข้อมูลความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในการยื่นหรือการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เข้าสู่ตำแหน่งโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล กร่างเถื่อน และสร้างอิทธิพลให้กับบริวารและพวกพ้อง ปกป้องพวกพ้องโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ เสนอให้มีการแต่งตั้งคู่สมรสที่อยู่กินฉันสามีภรรยาเป็นข้าราชการการเมือง โดยไม่คำนึงถึงวุฒิภาวะและความเหมาะสม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ฝ่าฝืนและปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
10.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม
ถูกกล่าวหาว่า บริหารราชการแผ่นดิน โดยเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่เกิดกับประเทศชาติและประชาชน เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนผูกขาด เพื่อให้มีสิทธิดำเนินงานในกิจการของรัฐ โดยไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ ทุจริตต่อหน้าที่และปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต ในหน่วยงานที่กำกับดูแล สมคบกันเพื่อปิดบังการทุจริต ไม่ยึดถือและปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง
ทั้งหมดคือข้อกล่าวหาของ ‘ฝ่ายค้าน’ ที่เตรียมไว้เปิดศึก ‘ซักฟอก’ รัฐบาล
อย่างไรก็ดียังคงไม่มีการระบุถึงรายละเอียด-ประเด็นอย่างเป็นทางการว่ามีกรณีอะไรเป็น ‘ไฮไลต์’ บ้าง?
คงต้องติดตามกันต่อไปในวันเปิดอภิปราย!
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage