"...จากการตรวจด้วยวิธีการใช้ก้านสำลีแยงจมูกตรวจสอบผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ พบว่ามีไวรัสออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่มีไวรัสออกมาเป็นจำนวนมากดังกล่าวนั้น ตีความได้ว่ามีอัตราการแพร่เชื้อที่สูงมากและเร็วมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งหมายความว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสองที่ประเทศแอฟริกาใต้นั้น จะใหญ่และหนักกว่าการระบาดในระลอกแรกด้วยเช่นกัน..."
.........................
สืบเนื่องจากการระบาดของโคโรน่าไวรัสหรือไวรัสโควิด-19 ที่มีการกลายพันธุ์หลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ในประเทศแอฟริกาใต้ ที่ปรากฎข่าวว่าเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์อันตรายที่มีอัตราการเสียชีวิตที่สูงมากกว่าสายพันธุ์อื่น และอาจส่งผลกระทบต่อการใช้วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19
ล่าสุด สำนักข่าว POLITICO สหรัฐอเมริกา ได้จัดทำรายงานข่าวเจาะลึกรายละเอียดเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์จากประเทศแอฟริกาใต้ เอาไว้
มีรายละเอียดดังนี้
หลายประเทศทั่วภูมิภาคยุโรป ได้สั่งแบนหรือห้ามการเดินทางจากประเทศแอฟริกาใต้แล้ว เนื่องจากความกังวลว่า วัคซีนที่มีการใช้งานอยู่ ณ เวลานี้ จะไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพกับ ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์จากแอฟริกาใต้ หลังจากไวรัสตัวนี้ กลายเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์หลักแทนที่ไวรัสสายพันธุ์อื่นๆไปแล้ว
โดยผลการวิจัยขั้นต้นพบว่า จำนวนไวรัสซึ่งอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมหาศาลนั้น จะเพิ่มอัตราการแพร่เชื้อให้มากขึ้นไปอีก ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อในแอฟริกาใต้ที่เพิ่มมากขึ้นนั้นส่งผลทำให้ประเทศแอฟริกาใต้ใกล้อยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องใช้มาตรการปิดเมืองทั่วประเทศ ขณะที่โรงพยาบาลต่างๆก็ประสบปัญหาต่อการรับมือสถานการณ์อย่างยากลำบาก
ซึ่ง ณ เวลานี้ ยังคงมีรายละเอียดเกี่ยวกับไวรัสโควิดสายพันธุ์นี้น้อยมาก แต่นักวิจัยทั้งจากแอฟริกาใต้และจากประเทศอื่นๆกำลังเร่งดำเนินการสืบสวนอย่างรวดเร็ว ทั้งในประเด็นเรื่องของความร้ายแรงของสายพันธุ์ และรวมถึงไวรัสสายพันธุ์นี้จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีนหรือไม่ ดังนี้
@ไวรัสโควิดสายพันธุ์นี้อันตรายกว่าสายพันธุ์อื่นหรือไม่?
การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในไวรัสนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่
ณ เวลานี้มีสายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 อยู่มากมาย บางสายพันธุ์ก็มีการแพร่เชื้อมากกว่าสายพันธุ์อื่น บางสายพันธุ์ก็อาจจะมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าสายพันธุ์อื่นอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ซึ่งถูกตรวจพบที่อังกฤษนั้นถูกระบุว่ามีอัตราการแพร่เชื้อที่สูง แต่ไม่ได้มีอัตราการเสียชีวิตที่สูงตามไปด้วย
โดยเอกสารวิจัยฉบับแรกซึ่งยังไม่มีการเผยแพร่ระบุว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์จากแอฟริกาใต้นั้น มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วมาก และภายในไม่กี่สัปดาห์ ไวรัสนี้ก็กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่มีการระบาดในหลายพื้นที่ของประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งนักวิจัยก็ได้ออกข้อคิดเห็นว่า ไวรัสสายพันธุ์นี้นั้นเพิ่มอัตราการแพร่เชื้อเป็นอย่างมาก
ขณะที่ นายซาลิม อับดูล คาริม (Salim Abdool Karim) นักวิทยาการระบาด และเป็นประธานร่วมของคณะกรรมการให้คำปรึกษาด้านไวรัสโควิด-19 ของประเทศแอฟริกาใต้ได้เขียนข้อสรุปการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า จากการตรวจด้วยวิธีการใช้ก้านสำลีแยงจมูกตรวจสอบผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ พบว่ามีไวรัสออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่มีไวรัสออกมาเป็นจำนวนมากดังกล่าวนั้น ตีความได้ว่ามีอัตราการแพร่เชื้อที่สูงมากและเร็วมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งหมายความว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสองที่ประเทศแอฟริกาใต้นั้น จะใหญ่และหนักกว่าการระบาดในระลอกแรกด้วยเช่นกัน
แต่สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์นี้จะทำให้เกิดโรคที่ร้ายแรงตามมาได้หรือไม่
ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้ว องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ก็เคยออกมาพูดแล้วว่า ณ เวลานี้ยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้นจะมีส่วนทำให้เกิดโรคหรืออาการที่ร้ายแรงกว่าตามมาได้หรือไม่
WHO ยังระบุด้วยว่า การมีผู้ติดเชื้อจากอัตราการระบาดที่มากขึ้นนั้นหมายความว่า ต้องมีผู้เข้าโรงพยาบาลที่มากขึ้น อันจะนำมาสู่การเสียชีวิตที่มากขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน
ขณะที่ นายแมทท์ แฮนค็อก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณาสุขของอังกฤษ ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 4 ม.ค.ว่า ตัวเขามีความกังวลเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่จากประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
โดยหลังจากที่ประเทศอังกฤษได้ประกาศไม่รับเที่ยวบินจากประเทศแอฟริกาใต้ในวันที่ 23 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายแฮนค็อก ได้ออกมาระบุว่า ไวรัสสายพันธุ์นี้นั้นมีการระบาดที่มากกว่าและมีการกลายพันธุ์ที่มากกว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ซึ่งถูกตรวจพบที่ประเทศอังกฤษ
ขณะที่ นพ.จอห์น เบล ศาสตราจารย์ด้านแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้ให้สัมภาษณ์กับวิทยุไทม์เรดิโอเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ว่า ตัวเขาเป็นกังวลกับความแตกต่างระหว่างไวรัสโควิดสายพันธุ์จากแอฟริกาใต้และสายพันธุ์จากประเทศอังกฤษ
@ไวรัสสายพันธุ์นี้ระบาดไปไกลเท่าไรแล้ว?
ไวรัสโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้นั้นถูกตรวจพบครั้งแรกที่อ่าวเนลสันแมนเดลา เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา แต่จากการวิจัยมีการคาดคะเนว่าไวรัสสายพันธุ์นี้อาจเริ่มระบาดมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2563 และสายพันธุ์นี้ได้มีการแพร่กระจายไปทั่วประเทศรวมไปถึงที่เมืองเคปทาวน์ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศแอฟริกาใต้
ขณะที่ประเทศแอฟริกาใต้ได้มีการยกเลิกมาตรการห้ามเดินทางไปยังต่างประเทศสำหรับผู้มีผลตรวจไวรัสโควิด-19 เป็นลบ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ว่า มีผู้ที่นำเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ไปแพร่เชื้อยังประเทศอื่นๆนับตั้งแต่เมื่อเดือน ต.ค.เป็นต้นมา
โดยรายงานล่าสุดพบว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้นั้นถูกตรวจพบแล้วทั้งที่ประเทศอังกฤษ ประเทศฟินแลนด์ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประเทศออสเตรเลีย
อ้างอิงวิดีโอจาก DW News
@วัคซีนจะใช้ได้ผลกับโควิดสายพันธุ์นี้หรือไม่?
นี่ถือเป็นคำถามที่ใหญ่และสำคัญมากว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่นั้นจะส่งผลทำให้วัคซีนไร้ประสิทธิภาพหรือไม่
เพราะที่ผ่านมานั้นการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นทั้งในสายพันธุ์ที่อังกฤษและสายพันธุ์ที่แอฟริกาใต้ พบว่ามีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นบนตัวรับ Receptor-Binding Domain (RBD) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของไวรัสในการผ่านเข้าสู่ร่างกายมนุษย์
โดย นพ.เบลล์กล่าวว่า เขากังวลว่ากายกลายพันธุ์นั้นจะเกิดขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในตัวรับ RBD ของไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ด้วยเช่นกัน
นพ.เบลล์กล่าวอีกว่า เชื่อว่าวัคซีนนั้นยังคงใช้ได้ผลกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ที่ประเทศอังกฤษ แต่เขาก็เตือนด้วยเช่นกันว่า ณ เวลานี้ยังคงมีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ว่าจะพูดแบบเดียวกันกับไวรัสสายพันธุ์จากแอฟริกาใต้ได้หรือไม่
ซึ่งนอกจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแล้ว ยังมีการศึกษาข้อมูลโดยหลายสถาบันในประเทศแอฟริกาใต้ เช่นเดียวกับที่ห้องแล็บพอร์ตันดาวน์ที่ประเทศอังกฤษ เพื่อที่จะตรวจสอบข้อมูลว่าวัคซีนในปัจจุบันนั้นไร้ประสิทธิภาพสำหรับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์จากแอฟริกาใต้หรือไม่
ด้านนพ.โจนาธาน แวนแทม รองอธิบดีหน่วยงานการแพทย์ในประเทศอังกฤษ ให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าว POLITICO เช่นกันว่า คงจะต้องใช้เวลาประมาณ 12-14 วัน หรือมากกว่านั้นในการที่นักวิทยาศาสตร์จะได้หลักฐานอันหนักแน่นชัดเจนว่าวัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม นพ.แวนแทม ระบุว่า ณ เวลานี้ยังมีสิ่งที่เป็นแง่บวกอยู่ก็คือ การดำเนินการของนักวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมาทั่วโลกนั้นมีการพิจารณาถึงสายพันธุ์ที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งผลจากการพิจารณาดังกล่าวนั้นพบว่าแม้ว่าจะมีสายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19อยู่มากมาย
แต่ทุกสายพันธุ์นั้นก็มีสิ่งที่เรียกกันว่าปฏิกิริยาข้ามกัน (cross-reactive) นั่นเอง หรือแปลง่ายๆก็คือทุกไวรัสโควิดยังคงมีจุดร่วมที่เป็นกลางเหมือนๆกันอยู่ดี
"หรือในอีกนัยยะหนึ่ง วัคซีน ณ เวลานี้ยังคงครอบคลุมสายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 หลายสายพันธุ์นั่นเอง" นพ.แวนแทมกล่าว และว่า วัคซีนนั้นจะกระตุ้นทำให้เกิดสารภูมิคุ้มกันที่หลากหลายประเภทออกมา ดังนั้น การกลายพันธุ์จึงจำเพาะมากถึงมากที่สุด เพื่อจะเอาชนะวัคซีนที่มีอยู่ทั้งหมด ณ เวลานี้
ขณะที่ทางบริษัทไบโอเอ็นเทคซึ่งพัฒนาวัคซีนร่วมกับบริษัทไฟเซอร์ ได้ออกมาระบุว่า วัคซีนของบริษัทนั้นมีศักยภาพเพียงพอที่จะป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์จากประเทศอังกฤษ
อ้างอิงวิดีโอจาก Euronews
@การห้ามการเดินทางข้ามประเทศจะยังคงได้ผลหรือไม่
ข้อมูลจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ได้ระบุเอาไว้ว่า วิธีการลดการระบาดที่ดีและมีประสิทธิภาพที่สุดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้นยังคงเป็นการจำกัดการพบปะกันของผู้คน รวมไปถึงการจำกัดการเดินทางนั่นเอง
ขณะที่ WHO ได้ออกคำเตือนมาโดยตลอดเกี่ยวกับการเปิดให้มีการเดินทางโดยสมบูรณ์ว่า เรื่องนี้ควรจะต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนที่จะดำเนินนโยบายดังกลาว และทาง WHO ยังได้ออกแนวทางชั่วคราวด้วยเช่นกัน
โดยระบุว่าการพิจารณาการเปิดการเดินทางระหว่างประเทศนั้นจะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงด้านการเดินทาง การติดเชื้อภายในประเทศ ความสามารถของระบบการดูแลสุขภาพในแต่ละท้องที่ และระดับความสามารถการแพร่เชื้อของไวรัสโควิดแต่ละสายพันธุ์ในแต่ละท้องที่ โดยผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีการใช้มาตรการกักกันเป็นวงกว้างนั้นก็ควรที่จะเดินทางด้วยจุดประสงค์สำคัญเท่านั้นจริงๆ
ขณะที่ นพ.ลอว์เรนซ์ ยัง ศาสตราจารย์ด้านมะเร็งวิทยาระดับโมเลกุลที่มหาวิทยาลัยวอร์วิค ประเทศอังกฤษ ออกมาระบุว่า อังกฤษควรจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะหยุดไวรัสชนิดนี้ให้ได้ รวมไปถึงการใช้มาตรการกักกันโรคและการห้ามเดินทางระหว่างประเทศแอฟริกาใต้นั้นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
อย่างไรก็ตาม ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์จากประเทศแอฟริกาใต้นั้นได้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศแล้ว ดังนั้น ณ เวลานี้จึงมีความไม่ชัดเจนว่าการห้ามการเดินทางระหว่างประเทศจะเพียงพอที่จะป้องกันการระบาดเพิ่มเติมได้หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีการแบนการเดินทางจากประเทศอังกฤษ หลังจากมีการค้นพบไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่อังกฤษ ซึ่งระบาดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นๆเช่นเดียวกัน
แต่จนถึงบัดนี้ มีประเทศนับสิบๆประเทศแล้วที่พบการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธ์ุจากประเทศอังกฤษ
@จะมีการกลายพันธุ์มากกว่านี้อีกหรือไม่?
มีความเป็นไปได้สูงมากที่ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์จากประเทศอังกฤษและจากประเทศแอฟริกาใต้นั้นจะไม่ใช่ไวรัสโควิดสายพันธุ์สุดท้าย
โดยผู้เชี่ยวชาญได้ออกคำเตือนว่าเราควรที่จะเตรียมตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับไวรัสโควิดสายพันธุ์อื่นๆที่มีศักยภาพในการแพร่ระบาดได้ดีกว่านี้ แต่ว่ายังไม่ถูกค้นพบ เพราะว่ายังไม่เกิดการระบาดและการตรวจพบเจอของสายพันธุ์นั้น
นพ.รวินดรา กุปตา ศาสตราจารย์ด้านจุลชีววิทยาทางการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ระบุว่า การตรวจพบการระบาดในทั้ง 2 ประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด เพราะการระบาดที่เกิดขึ้นทั้ง 2 สายพันธุ์นั้น เกิดในสถานที่ซึ่งมีการแพร่ระบาดมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
นี่จึงเป็นบทเรียนสำคัญที่โลกควรต้องรับรู้เอาไว้
เรียบเรียงจาก:https://www.politico.eu/article/the-south-african-covid-19-variant-what-we-know-so-far/
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage