“...ข้อเท็จจริงปรากฏว่าข้าราชการตํารวจ ทั้งสามรายไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย แต่กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีการสมคบคิดกัน เพื่อที่จะทําให้นางสาว (ขอปิดชื่อ) ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ต้องตกเป็นผู้ต้องหา...”
26 เม.ย.2561 สื่อมวลชนรายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โดย พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 2222/2561 แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ 14 ราย เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องคดีค้ามนุษย์ (อ้างอิงข่าวhttps://mgronline.com/crime/detail/9610000041016)
ล่าสุดนายตำรวจที่มีชื่อโยกย้ายดังกล่าว 3 ราย ถูกดำเนินในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)อายัดทรัพย์สิน 3 รายการรวมเป็นเงินกว่า 1 แสนบาท
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2563 คณะกรรมการธุรกรรม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย.65/2563 เรื่อง อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดไว้ชั่วคราว ราย พันตํารวจเอก พิศุทธิ์ ศุกระศร ผู้กํากับการหัวหน้าสถานีตํารวจ กับพวก 3 รายการ รวมเป็นเงิน 116,575.27 บาท พร้อมดอกผล มีกําหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ นับตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 11 ตุลาคม 2563
ในคำสั่งอายัดทรัพย์สินระบุรายละเอียดดังนี้
ด้วยสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สํานักงาน ปปง.) ได้รับรายงาน จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามหนังสือลับ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0804/653 ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2560 เรื่อง รายงานตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทําความผิดเกี่ยวกับ การค้ามนุษย์ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2558 เจ้าหน้าที่กรมการปกครองและองค์การต่อต้านการค้ามนุษย์ (NVADER) ได้มีการจับกุมนายนันทสิทธิ์ ชมดารา พร้อมกับหญิงขายบริการ อีกจํานวน 7 คน ส่งให้พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรเมืองกาญจนบุรี เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมพบว่านางสาว (ขอปิดชื่อ) 1 ใน 7 คน ที่ได้รับการช่วยเหลือ น่าจะมีอายุ ต่ํากว่า 18 ปี จึงส่งนางสาว (ขอปิดชื่อ) ไปตรวจอายุกระดูกทางนิติวิทยาศาสตร์ซึ่งแพทย์ให้ความเห็นว่า นางสาว (ขอปิดชื่อ) อายุประมาณ 15 ปี จึงน่าเชื่อว่าเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ แต่พนักงานสอบสวน และผู้เกี่ยวข้องมีการกระทําหลายประการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทําให้นางสาว (ขอปิดชื่อ) ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาทั้งที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานอัยการสอบสวนร่วม มีความเห็นให้ดําเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในข้อหาความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันขัดขวางการสืบสวน การสอบสวน การฟ้องร้องหรือการดําเนินคดีความผิดฐานค้ามนุษย์
โดยมีพฤติการณ์กล่าวคือ พันตํารวจเอก พิศุทธิ์ ศุกระศร ผู้กํากับการหัวหน้าสถานีตํารวจ พันตํารวจเอก นคร พักไพโรจน์ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ และร้อยตํารวจเอกหญิง จริยาภรณ์ พ่วงพี่ดี พนักงานสอบสวน โดยเป็นข้าราชการตํารวจชั้นผู้ใหญ่และเป็นพนักงานสอบสวนที่มีหน้าที่รับผิดชอบงาน การสอบสวนและมีความเห็นทางคดีอาญาโดยตรง ย่อมมีความรู้ความเข้าใจขั้นตอนการสืบสวนสอบสวน ดําเนินคดีและต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าข้าราชการตํารวจ ทั้งสามรายไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย แต่กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีการสมคบคิดกัน เพื่อที่จะทําให้นางสาว (ขอปิดชื่อ) ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ต้องตกเป็นผู้ต้องหา ทั้งที่พยานหลักฐาน ปรากฏชัดเจนตั้งแต่ชั้นการสืบสวน การตรวจค้นจับกุม การสัมภาษณ์คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การตรวจอายุกระดูกจากแพทย์ มีความสอดคล้องกันอย่างต่อเนื่องว่านางสาว (ขอปิดชื่อ) อายุต่ํากว่า 18 ปี คดีนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีความเห็นควรสั่งฟ้องพันตํารวจเอก พิศุทธิ์ ศุกระศร กับพวก ในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และประมวลกฎหมายอาญา อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (2) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพันตํารวจเอก พิศุทธิ์ ศุกระศร กับพวก ได้ไป ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดดังกล่าว
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ที่ประชุม มีมติมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดําเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542ประกอบกับคําสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่ ม.160/2563 ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับ การกระทําความผิด รายพันตํารวจเอก พิศุทธิ์ ศุกระศร กับพวก พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดําเนินการตรวจสอบ รายงานการทําธุรกรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทําธุรกรรมของบุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฎหลักฐานเป็นที่เชื่อ ได้ว่าพันตํารวจเอก พิศุทธิ์ ศุกระศร กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทําความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (2) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทํา ความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน และจากการตรวจสอบข้อมูลการทําธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับ การกระทําความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด จํานวน 3 รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทํา ความผิดในคดีนี้ประกอบด้วยสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถ โอน ยักย้าย ปกปิดหรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย หากมิได้มีการออกคําสั่งให้อายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดําเนินการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้น ทรัพย์สินดังกล่าวไปเสียและหากต่อมาศาลได้มีคําสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สํานักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพันตํารวจเอก พิศุทธิ์ ศุกระศร กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดและอาจมีการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรม ในการประชุม ครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรมว่าด้วย การรับเรื่อง การตรวจสอบ การพิจารณาดําเนินการ และการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2556 ข้อ 25 คณะกรรมการ ธุรกรรมจึงมีคําสั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดไว้ชั่วคราว จํานวน 3 รายการ พร้อมดอกผล ได้แก่
1. เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาเขลางค์นคร เลขที่บัญชี 552-0-38864-4 ชื่อบัญชี นางสาวณิชาธร พักไพโรจน์ ยอดเงินคงเหลือ 4,678.50 บาท (สี่พันหกร้อยเจ็ดสิบแปดบาทห้าสิบสตางค์) ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2563
2. เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัลพลาซา ลําปาง เลขที่บัญชี 784-0-35425-4 ชื่อบัญชี นางสาวณิชาธร พักไพโรจน์ ยอดเงินคงเหลือ 111,861.83 บาท (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันแปดร้อยหกสิบเอ็ดบาทแปดสิบสามสตางค์) ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2563
3. เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาตลาดผาสุก กาญจนบุรี เลขที่บัญชี 960-0-31547-7 ชื่อบัญชี นางสาวณิชาธร พักไพโรจน์ ยอดเงินคงเหลือ 34.94 บาท (สามสิบสี่บาทเก้าสิบสี่สตางค์) ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2563
รวมจํานวนทั้งสิ้นประมาณ 116,575.27 บาท (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหกพันห้าร้อยเจ็ดสิบ ห้าบาทยี่สิบเจ็ดสตางค์) พร้อมดอกผล มีกําหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 11 ตุลาคม 2563
ทั้งนี้ ให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจําหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวหรือสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์หรือดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวด้วย
ทั้งหมดคือ เบื้องหลัง ผลที่สุดเป็นอย่างไร ติดตามกันต่อไป
อ่านประกอบ
สั่งย้าย 14 รอง ผบก.-ผบ.หมู่เอี่ยวค้ามนุษย์ตามคำสั่ง "ประยุทธ์"
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage