"...เมื่อไม่นานมานี้ รัฐสภาบราซิลได้เห็นชอบในนโยบายของนายฌาอีร์ที่จะให้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือแรงงานนอกระบบและแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งจะทำให้ชาวบราซิลจำนวนอย่างน้อย 50 ล้านคนนั้นมีสิทธิที่จะได้รับการเข้าถึงเงินเยียวยานี้ ซึ่งหลังจากการอนุมัตินโยบายดังกล่าว ภาพที่ปรากฏออกมาก็คือ มีประชาชนนับพันไปต่อแถวรอเข้าคิวเพื่อที่จะรับเงินที่ธนาคารต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องพบกับการติดเชื้อเพิ่มขึ้น..."
ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 293,357 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,472 ราย มีผู้เสียชีวิตสะสม 18,894 ศพ และมีรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตใหม่ 911 ศพ ทำให้บราซิลกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่แซงสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับหนึ่งแซงหน้าสหรัฐอเมริกา และมีผู้เสียชีวิตใหม่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก (ตัวเลข ณ 21 พ.ค.2563)
คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศบราซิลล่าสุด
จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามตามมาทันทีว่า เกิดอะไรขึ้นกับบราซิลกันแน่
ทั้งที่ ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือน เม.ย. บราซิลเคยมีสถิติการรักษาผู้ป่วยหายสะสมมากกว่าจำนวนผู้ป่วยปัจจุบัน เฉพาะแค่วันที่ 19 เม.ย.วันเดียว บราซิลสามารถรักษาผู้ป่วยให้หายได้ถึง 8,104 คน ถือได้ว่าเป็นตัวเลขการรักษาหายต่อวันมากที่สุดในโลก
ล่าสุด สำนักข่าว DW ของเยอรมนี ได้จัดทำรายงานพิเศษใช้ชื่อว่า ไวรัสโคโรน่า:ประเทศบราซิลกำลังมุ่งไปสู่ความพินาศ (Coronavirus: Brazil headed for catastrophe) มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องราตรีจำนวนมากได้ออกมาดื่มด่ำกับแสงสี ทั้งที่บาร์ และตามชายหาดชื่อดังในเมืองริโอ เดอจานีโร โดยไม่มีใครปฏิบัติตามคำแนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัยแม้แต่น้อย
แม้ว่าทั้งประเทศจะอยู่ในมาตรการปิดเมืองมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 เดือน แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ก็ยังคงมีความสุขกับการออกไปเตร็ดเตร่นอกบ้าน โดยไม่ได้คำนึงถึงปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 แต่อย่างใด
ขณะที่ในย่านคนจนของเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไวรัสระบาดอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่อาศัยต่างหวาดกลัว พนักงานร้านของชำที่ส่งสินค้าอุปโภคบริโภคไปยังผู้ที่ต้องกักตัวเองจะต้องใส่หน้ากากตลอดและล้างมือตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองติดเชื้อไวรัส
เป็นวิถีชีวิตที่สวนทางกันอย่างเห็นได้ชัดเจน!
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เชื่อว่า ผลจากการที่บราซิลสามารถตรวจหาผู้ติดเชื้อได้น้อยเกินไป ทำให้ตัวเลขของผู้ติดเชื้อในประเทศน่าจะสูงกว่าที่แจ้งไว้อย่างน้อยประมาณ 15 เท่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจึงน่าจะมากกว่าที่แจ้งไว้เป็นทางการอย่างน้อย 2 เท่า ขณะที่โรงพยาบาลของรัฐ ก็ประสบปัญหาการรับผู้ป่วยที่เกินขีดความสามารถของโรงพยาบาล ทำให้มีตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ที่เสียชีวิตตามบ้านเพิ่มมากขึ้นด้วย
รายงานข่าวและปรากฏภาพถ่ายของหลุมศพหมู่ขนาดใหญ่ทั้งนอกเมืองมานาอุส และเมืองเซาเปาโล ถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งโลกอย่างต่อเนื่อง
แม้ วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่าไร
แต่ปรากฎว่า นายฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีบราซิล กลับไม่แสดงความกังวลต่อสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย
@มันก็เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา
ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา นายฌาอีร์ ประธานาธิบดีบราซิล มักจะแสดงออกต่อสาธารณะว่าโรคนี้ ไม่มีอันตรายมากไปกว่าไข้หวัดธรรมดา และกล่าวโทษประเทศจีนว่าทำให้เกิดความกังวลเกินเหตุเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาด
โดยเขาเชื่อว่าสถานการณ์โรคระบาดนั้นถูกประโคมให้รุนแรงขึ้นด้วยความพยายามที่ต้องการจะทำร้ายทั้งตัวเขา และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
และเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเขาไม่ได้กังวลกับสถานการณ์นี้ ประธานาธิบดีบราซิลและคณะผู้แทน ได้เดินทางไปพบกับนายทรัมป์ในช่วงต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
แต่เมื่อนายฌาอีร์และคณะได้เดินทางกลับจากรัฐฟลอริดา ปรากฎว่าในคณะเดินทางของเขา พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นจำนวนมากกว่า 20 รายด้วยกัน ถือเป็นหายนะทางด้านการประชาสัมพันธ์ของประธานาธิบดีบราซิลอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ นายฌาอีร์ ซึ่งเคยเป็นอดีตทหารพลร่มและอดีตนักกีฬา ได้ละเลยการปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก และยังละเลยต่อคำแนะนำของหน่วยงานด้านสุขภาพของบราซิลที่ให้ดำเนินมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ที่ผ่านมาปรากฏภาพว่าตัวเขาได้เดินทางไปจับมือและถ่ายเซลฟี่กับผู้สนับสนุนที่มาชุมนุมประท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อช่วงวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลบราซิลยกเลิกมาตรการปิดเมือง โดยที่ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยด้วย
ประธานาธิบดีบราซิล ยังได้ประกาศอีกว่า ด้วยความที่เขาเป็นนักกีฬาเก่า จึงทำให้ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจากการติดเชื้อโควิด-19
อ้างอิงวิดีโอจาก บีบีซี
@บราซิลไล่หมอคิวบากลับประเทศ อ้างเป็น เผด็จการ คอมมิวนิสต์
ขณะที่เว็บไซต์ Havana Live ซึ่งเป็นสื่อของประเทศคิวบา ได้เปิดเผยข้อมูลอีกชุดว่า นับจากที่นายฌาอีร์ได้ขึ้นครองอำนาจเมื่อปี 2561 เขาได้ระงับโครงการความร่วมมือและช่วยเหลือทางการแพทย์ที่รัฐบาลคิวบาได้ทำไว้กับรัฐบาลบราซิลก่อนหน้าทันที
ด้วยเหตุผลที่ว่าในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งนั้น นายฌาอีร์ได้โจมตีรัฐบาลคิวบาเอาไว้ว่าเป็นคอมมิวนิสต์และเผด็จการ
โดยรายละเอียดของโครงการที่ว่ามานั้นจะเป็นการส่งทีมแพทย์คิวบาไปยังพื้นที่ห่างไกลของบราซิลเพื่อที่จะดูแลในด้านสาธารณสุข ซึ่งในช่วงเวลาที่มีการยกเลิกโครงการ ปรากฏว่ามีนายแพทย์ชาวคิวบาในโครงการเป็นจำนวนถึง 8,000 ราย และมีจำนวนหลายร้อยคนที่ปฏิเสธจะกลับประเทศคิวบาแม้ว่าโครงการจะปิดไปแล้ว เนื่องจากได้แต่งงานและมีครอบครัวอยู่ที่บราซิล
จึงจะขอเลือกที่จะทำงานอยู่ที่บราซิลแทน แม้ว่าจะประสบปัญหาเรื่องใบอนุญาตก็ตาม
ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานว่าทางการบราซิลต้องกลับมาว่าจ้างนายแพทย์ชาวคิวบาในประเทศบราซิลเหล่านี้ให้กลับเข้าทำงานอีกครั้งเพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคโควิดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในบราซิลสูงเกือบจะถึง 2 หมื่นศพแล้ว
@ยารักษาที่ยังไม่ได้รับการรับรอง
อย่างไรก็ดี แม้จะเผชิญกับยอดผู้เสียชีวิตที่เริ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีบราซิลได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า แม้ตัวเขาจะมีชื่อกลางว่าเมสไซอาห์ (Messiah แปลว่าผู้นำพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า) แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะสร้างปาฏิหาริย์ได้ ดังนั้น เขาจึงได้เรียกร้องไปยังชาวบราซิลทุกคนให้สวดมนต์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปัดเป่าชาวบราซิลให้พ้นจากไวรัสนี้
นายฌาอีร์ ยังได้อ้างไปถึงสหรัฐอเมริกาที่นำตัวยาคลอโรควินซึ่งเป็นยาต้านโรคมาเลเรีย มาทำการทดลองเป็นยารักษาไวรัสโควิด โดยเขาได้สั่งให้ห้องแล็บของกองทัพผลิตตัวยาคลอโรควินที่ว่านี้เป็นจำนวนมาก
ขณะที่ นายหลุยส์ เฮ็นริเก้ แมนเดตต้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้คัดค้านการสนับสนุนการใช้ยาตัวดังกล่าวของประธานาธิบดี และก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ นายหลุยส์ เฮ็นริเก้ ต้องถูกปรับออกจากตำแหน่งไปในช่วงเดือน เม.ย.
ส่วนนายเนลสัน เทช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน ก็แสดงจุดยืนคัดค้านการใช้ยาคลอโรควินเช่นกัน และเป็นเหตุทำให้นายเนลสันต้องลาออกจากตำแหน่งตามไปด้วย ทั้งที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียงแค่ 28 วันเท่านั้น
นายหลุยส์ เฮ็นริเก้ แมนเดตต้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (อ้างอิงรูปภาพจาก:https://www.bbc.co.uk/programmes/w3cszc1r)
นายเนลสัน ทีช อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขของประเทศบราซิล (ซ้าย),นายฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีบราซิล (ขวา) (อ้างอิงรูปภาพจาก:https://www.gazetadopovo.com.br/)
ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานใดที่ยืนยันเป็นรูปธรรมว่า ยาคลอโรควินนั้นมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโควิด
โดยในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ของบราซิลได้ตัดสินใจยุติการศึกษาใช้ยาคลอโรควินในการรักษา หลังจากพบว่าผู้ที่ทดลองใช้ยาคลอโรควินจำนวน 1 ใน 4 เจอภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหลังจากรับยาไปเพียง 2 โดสหรือมากกว่านั้น
นายแพทย์บางราย ยังได้แสดงความกังวลด้วยว่า อาจจะมีชาวบราซิลจำนวนหลายร้อยรายเสียชีวิตในช่วงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากใช้ยาโดยปราศจากคำแนะนำทางการแพทย์
แม้ว่าจะมีข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับการใช้ยา แต่พล.ต.เอดูอาร์โด ปาซูเอลโญ (Eduardo Pazuello) ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็เตรียมที่จะประกาศให้ใช้ยาคลอโรควินเป็นยารักษาโรคโควิด อย่างเป็นทางการ
พล.ต.เอดูอาร์โด ปาซูเอลโญ (Eduardo Pazuello)รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (อ้างอิงรูปภาพจาก:https://gauchazh.clicrbs.com)
@อำนาจในมือผู้ใช้กฎหมายท้องถิ่นที่คอยประวิงสถานการณ์ที่เลวร้ายลง
จากการที่นายหลุยซ์และนายเนลสัน อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข ได้ออกคำสั่งไปยังผู้ว่าราชการและนายกเทศมนตรีในเมืองต่างๆของบราซิลให้ยึดหลักการเว้นระยะห่างทางสังคม ก็ส่งผลทำให้ประธานาธิบดีบราซิลไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาต้องการที่จะให้ชีวิตและเศรษฐกิจกลับมาโดยปกติเร็วที่สุด
โดยนายฌาอีร์ก็ ได้ออกมากล่าวโทษว่า ถ้าหากตัวเลขการว่างงานพุ่งสูงขึ้น มันก็เป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น ที่ยังยึดเอามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอยู่
เบื้องต้น มีรายงานว่าในทั่วเมืองใหญ่ของบราซิล ผู้สนับสนุนประธานาธิบดีได้จัดการประท้วงด้วยขบวนรถเพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านผู้ว่าการและนายกเทศมนตรีในแต่ละเมืองที่ได้ออกมาตรการการปิดร้านขายสินค้าไม่จำเป็นและร้านค้าต่างๆ
บางจังหวัดของประเทศ มีรายงานว่าโรงพยาบาลในพื้นที่ต้องประสบกับสภาวะคนไข้ล้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลทำให้รัฐบาลท้องถิ่นนั้นต้องออกมาใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด อาทิ เมืองริโอ เดอ จานีโร หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของเมืองให้ประชาชนอาศัยอยู่แต่ในเคหสถานของตัวเอง
เมืองเซาเปาโล มียอดผู้เสียชีวิตแซงหน้าจีนไปแล้ว ทำให้รัฐบาลท้องถิ่น ต้องออกมาบังคับใช้มาตรการปิดเมืองเช่นเดียวกัน
ขณะที่โรงพยาบาลในเมืองใหญ่อย่างเบเลม,มานาอุส และฟอร์ตาลีซา ก็กำลังประสบกับปัญหาเตียงไม่พอที่จะรักษาผู้ป่วยเช่นกัน
แต่ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อไม่นานมานี้ รัฐสภาบราซิลได้เห็นชอบในนโยบายของนายฌาอีร์ที่จะให้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือแรงงานนอกระบบและแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งจะทำให้ชาวบราซิลจำนวนอย่างน้อย 50 ล้านคนนั้นมีสิทธิที่จะได้รับการเข้าถึงเงินเยียวยานี้
ซึ่งหลังจากการอนุมัตินโยบายดังกล่าว ภาพที่ปรากฏออกมาก็คือ มีประชาชนนับพันไปต่อแถวรอเข้าคิวเพื่อที่จะรับเงินที่ธนาคารต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องพบกับการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
ด้วยข้อเท็จจริงแห่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในบราซิลดังที่กล่าวมาทั้งหมด อันเป็นผลมาจากความ 'อีโก้' ในตัว 'ผู้นำ' จึงทำให้การแพร่เชื้อของคนในประเทศนับวันจะยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลยแม้แต่น้อย
ทั้งหมดนี่ คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ในประเทศที่ถูกขนานนามจากคนไทยว่า ที่นี่ คือ บราซิล!
เรียบเรียงจาก:https://www.dw.com/en/coronavirus-brazil-headed-for-catastrophe/a-53502907,https://havana-live.com/brazil-lets-cuban-doctors-resume-work-amid-coronavirus-struggle/
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage