
"...จากเดิมที่การส่งบัญชีวัดต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นเพียง ‘ขอความร่วมมือ’ แต่ในปี 2568 ได้มีการออกระเบียบมหาเถรสมาคมฉบับใหม่ บังคับวัดทั่วประเทศต้องใช้ ‘ระบบบัญชีมาตรฐานเดียว’ วัดที่มีรายได้เกิน 5 ล้านบาทต่อปี ต้องผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เช่นเดียวกับมูลนิธิหรือบริษัท..."
ปี 2568 กลายเป็นปีที่ประวัติศาสตร์สังคมไทยต้องจารึกถึงการเผชิญหน้ากับความเสื่อมถอยของสถาบันสงฆ์ในมิติของการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ขาดธรรมาภิบาลอย่างรุนแรง เมื่อหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ร่วมกันเปิดโปงเครือข่ายทุจริตที่แฝงตัวอยู่ภายใต้ความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ซึ่งไม่ได้มีเพียงพฤติกรรมส่วนบุคคลที่ผิดพระธรรมวินัย แต่ยังรวมถึงกระบวนการฟอกเงินข้ามชาติ การยักยอกเงินบริจาค และขบวนการรีดเอาทรัพย์ที่ซับซ้อน
@คดีพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม) และเครือข่ายฟอกเงินวัดไร่ขิง
ที่มาของคดี คดีนี้เริ่มต้นขึ้นจากการตรวจพบความผิดปกติของงบประมาณภายในวัดไร่ขิง พระอารามหลวงชื่อดังในจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นวัดที่มีรายได้จากการทำบุญและงานเทศกาลประจำปีจำนวนมหาศาล หน่วยงานสืบสวนได้รับเบาะแสว่ามีการโอนเงินจากบัญชีของวัดและมูลนิธิฯ ออกไปสู่บุคคลภายนอกโดยไม่มีโครงการหรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน จนนำไปสู่การขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงินและพบความเชื่อมโยงกับอบายมุข
พฤติการณ์และการยึดทรัพย์ คณะกรรมการธุรกรรม ปปง. ได้มีคำสั่งที่ ย. 279/2568 ให้อายัดทรัพย์สินของ พระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม อินทร์กรุงเก่า) และกลุ่มบุคคลใกล้ชิด 5 ราย ได้แก่ นางสาวอรัญญาวรรณ, นายฉัตรชัย, นางสุมาลี, นายวรพล และนางสาวเบญจมาศ พฤติการณ์ที่ปรากฏคือการยักยอกเงินจากบัญชีวัดโอนเข้าบัญชีส่วนตัวและนอมินี เพื่อนำไปใช้เป็นทุนในเครือข่ายการพนันออนไลน์ LAGALAXY และนำกำไรจากการพนันมาฟอกผ่านการซื้ออสังหาริมทรัพย์และยานพาหนะหรู
รายการทรัพย์สินที่ถูกอายัด (205 รายการ มูลค่า 41.6 ล้านบาท)
ปปง. สั่งอายัดที่ดินโฉนดใน ต.ท่าตลาด อ.สามพราน เนื้อที่ 12 ไร่เศษ, ห้องชุดคอนโดมิเนียมในศาลายา, รถยนต์ Mercedes-Benz E 220 d, Toyota Alphard และ BMW Series 5 ที่อยู่ในชื่อของกลุ่มนอมินี นอกจากนี้ยังพบรายการพระเครื่องและวัตถุมงคลเลี่ยมทองอีกกว่า 161 รายการที่ถูกถือครองไว้เพื่อรอการแปรสภาพเป็นเงินสด โดยมียอดเงินหมุนเวียนรวมในกลุ่มเครือข่ายนี้สูงถึง 240.4 ล้านบาท
@ มหากาพย์ ‘สีกากอล์ฟ’ และขบวนการรีดเอาทรัพย์วัดโสธรฯ
ที่มาของคดี เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อพระผู้ใหญ่ระดับสูงหลายรูปในจังหวัดฉะเชิงเทราและกรุงเทพฯ ตัดสินใจลาสิกขาพร้อมกันอย่างผิดปกติ นำไปสู่การร้องเรียนต่อตำรวจ ปปป. ว่ามีขบวนการ ‘นารีพิฆาต’ เข้ามาแทรกแซงและกรรโชกทรัพย์พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ โดยใช้ภาพลักษณ์และคลิปวิดีโอส่วนบุคคลเป็นเครื่องมือทำลายชื่อเสียง
พฤติการณ์ นางสาววิลาวัลย์ หรือ ‘สีกากอล์ฟ’ ถูกจับกุมในฐานะหัวหน้าขบวนการที่ใช้ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเข้าหาพระผู้ใหญ่ เช่น เจ้าคุณอาชว์ (อดีตพระเทพวชิรปาโมกข์) และอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ เพื่อบันทึกภาพลับและนำมาข่มขู่เรียกรับเงิน พฤติการณ์ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือพระผู้ใหญ่ที่ถูกข่มขู่ได้ทำการยักยอกเงินงบประมาณซ่อมแซมวัดและเงินบริจาคส่วนกลางมาจ่ายให้กับกลุ่มขบวนการนี้เพื่อปิดปาก
มูลค่าความเสียหาย จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบยอดเงินหมุนเวียนในบัญชีสีกากอล์ฟรวมกว่า 385 ล้านบาท ภายในเวลา 3 ปี โดยมีการฟอกเงินผ่านการซื้อที่ดินและธุรกิจรถยนต์มือสองจำนวนมาก คดีนี้ส่งผลให้ต้องมีการสังคายนาบัญชีทรัพย์สินของวัดโสธรวรารามวรวิหารใหม่ทั้งหมด เนื่องจากพบว่ามีเงินรั่วไหลออกจากระบบบัญชีวัดอย่างมหาศาล
@ คดีพระอาจารย์คึกฤทธิ์ และปมฟอกเงินข้ามชาติเยอรมนี
ที่มาของคดี อดีตกลุ่มลูกศิษย์และพุทธศาสนิกชนที่เคยศรัทธาในแนวทาง ‘พุทธวจน’ ได้เข้าร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. และ ปปง. ให้ตรวจสอบการบริหารจัดการเงินบริจาคของวัดนาป่าพง หลังจากพบความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ในการดำเนินงานของมูลนิธิในต่างประเทศ
พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญคือการโอนเงินจำนวน 12.2 ล้านบาท จากบัญชีที่เกี่ยวข้องกับวัดไปยังบุคคลใกล้ชิดใน ประเทศเยอรมนี โดยอ้างว่าเพื่อจัดตั้งมูลนิธิและซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับเผยแผ่ศาสนา อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเอกสารพบว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารในต่างประเทศกลับถูกถือครองในชื่อบุคคล ไม่ใช่นิติบุคคลของวัดหรือมูลนิธิอย่างที่ควรจะเป็น
สถานะทางกฎหมาย อัยการสำนักงานการสอบสวนได้วินิจฉัยพฤติการณ์นี้ว่าเป็นความผิดที่เกิดขึ้นคาบเกี่ยวระหว่างประเทศ และเตรียมเสนออัยการสูงสุดเพื่อรับเป็น ‘คดีนอกราชอาณาจักร’ เพื่อใช้อำนาจตามกฎหมายความร่วมมือระหว่างประเทศในการติดตามทรัพย์สินและสอบสวนเส้นทางการเงินในยุโรปอย่างละเอียด
@ ปฏิบัติการ ‘Endgame’ วัดพระบาทน้ำพุ อาณาจักรที่ดินหมื่นล้าน
ที่มาของคดี จากการสืบสวนพบว่า มีกลุ่มบุคคลใกล้ชิดและฆราวาสบางกลุ่ม รวมถึงผู้มีชื่อเสียงในสังคม (อาทิ กรณีที่มีการกล่าวถึง ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ ในฐานะผู้ร่วมดำเนินการ) ได้เข้าไปมีบทบาทในการบริหารจัดการเงินบริจาค โดยมีการเปิดบัญชีธนาคารในชื่อบุคคลธรรมดาเพื่อรับบริจาค แทนที่จะเป็นบัญชีในนาม ‘นิติบุคคลวัดพระบาทน้ำพุ’ อย่างที่ควรจะเป็น จากการขยายผลจากการตรวจสอบนำพาเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เข้าสู่รั้ววัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี เนื่องจากตรวจพบความผิดปกติในการถือครองที่ดินจำนวนมหาศาลที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นธรณีสงฆ์
พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบพฤติการณ์การนำเงินบริจาคที่ประชาชนมอบให้เพื่อวัตถุประสงค์ในการดูแลผู้ป่วย HIV ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น การลงทุนในบริษัทจำกัด และการกว้านซื้อที่ดินสะสมไว้ในชื่อของกลุ่มบุคคลและฆราวาสใกล้ชิด โดยมีการใช้บัญชีส่วนตัวในการรับบริจาคแทนบัญชีส่วนกลางของวัด
รายละเอียดการตรวจสอบ มีการอายัดโฉนดที่ดินรวม 411 ฉบับ และ น.ส.3 อีก 389 แปลง รวมพื้นที่กว่า 7,200 ไร่ พร้อมยานพาหนะอีกกว่า 60 คัน โดยมีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบในคดีนี้ไว้สูงถึงหลัก 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์คดีทุจริตสงฆ์ไทย
จากกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด รัฐบาลและมหาเถรสมาคมจึงได้ผลักดันข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้น ดังนี้
กฎหมายการรายงานบัญชีฉบับบังคับ (Mandatory Financial Reporting)
จากเดิมที่การส่งบัญชีวัดต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นเพียง ‘ขอความร่วมมือ’ แต่ในปี 2568 ได้มีการออกระเบียบมหาเถรสมาคมฉบับใหม่ บังคับวัดทั่วประเทศต้องใช้ ‘ระบบบัญชีมาตรฐานเดียว’ วัดที่มีรายได้เกิน 5 ล้านบาทต่อปี ต้องผ่านการตรวจสอบ (Audit) โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) เช่นเดียวกับมูลนิธิหรือบริษัท โดยมีโทษทางวินัยและอาญา เจ้าอาวาสที่จงใจไม่ส่งรายงานบัญชี หรือส่งข้อมูลเท็จ จะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 และอาจถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสทันที
ระบบ e-Donation 100% และการจำกัดธุรกรรมเงินสด
บทเรียนจาก คดีวัดพระบาทน้ำพุ ที่พบเงินสดและทองคำจำนวนมากในที่ลับ ทำให้เกิดมาตรการควบคุมกระแสเงินสด คือ
Digital Footprint บังคับให้การทำบุญที่มีมูลค่าสูง (เช่น การเป็นเจ้าภาพกฐินหรือการบริจาคเพื่อสร้างอาคาร) ต้องผ่านระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรเท่านั้น เพื่อให้มีหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ ปปง. สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ทันที
บัญชีวัดต้องไม่มีชื่อบุคคล ห้ามมิให้มีการเปิดบัญชีเงินฝากวัดโดยใช้ชื่อเจ้าอาวาสหรือไวยาวัจกรพ่วงด้วย ‘เพื่อวัด...’ แต่ต้องเป็นชื่อ ‘วัด...’ ในฐานะนิติบุคคลเพียงอย่างเดียว เพื่อป้องกันการโอนเงินออกไปยังนอมินีได้ง่ายเหมือนกรณีพระแย้ม
ปฏิบัติการ ‘3 ป. จับสด’ และฐานข้อมูลอาชญากรรมสงฆ์
รัฐบาลได้ตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจทำงานเชิงรุกร่วมกับ ปปง. โดยเน้นไปที่การตรวจสอบทรัพย์สินนอมินี หากพบว่าบุคคลใกล้ชิดพระสงฆ์ (โยมอุปัฏฐาก หรือไวยาวัจกร) มีทรัพย์สินพุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ (Wealth Check) ปปง. สามารถสั่งอายัดทรัพย์เพื่อตรวจสอบได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้พระรูปนั้นถูกดำเนินคดีอาญาจบก่อน
ฐานข้อมูลอาบัติปาราชิก ป้องกันกรณี ‘บวชใหม่เพื่อฟอกตัว’ โดยมีการจัดทำฐานข้อมูลประวัติพระสงฆ์ที่ถูกขับออกจากสมณเพศด้วยความผิดทางทรัพย์สิน เพื่อไม่ให้กลับเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในผ้าเหลืองได้อีก
ทั้งหมดนี้ เห็นได้ว่าปี 2568 คือจุดจบของยุค ‘ศรัทธาลอยตัว’ ที่พระสงฆ์สามารถบริหารจัดการเงินหลักร้อยล้านได้ตามใจชอบ การยึดทรัพย์พระแย้มกว่า 41 ล้านบาทเป็นเพียง ‘จุดเริ่มต้น’ ของการส่งสัญญาณว่า ‘ทรัพย์สินของวัด คือทรัพย์สินของแผ่นดินที่ประชาชนฝากไว้เพื่อทำนุบำรุงศาสนา ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวที่เจ้าอาวาสจะนำไปฟอกผ่านนอมินีหรือซื้อความสุขทางโลกได้’
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีคำพิพากษาว่าผู้เกี่ยวข้องในคดีข้างต้นกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ติดตามผลกันต่อไป
อ่านประกอบ:
- ผ่าทรัพย์สินอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง โดนยึด 205 รายการ 41.6 ล. 5 คนใกล้ชิดถือครอง
- เปิดคำสั่งยึดทรัพย์อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง แฉโอนเงินให้ 3 คนใกล้ชิดหมุนเวียน 240.4 ล.
- บุกจับ 'พระอลงกต-หมอบี' คดียักยอกเงินวัดพระบาทน้ำพุ คุมตัวสอบปากแล้ว
- 3 เดือน ยึดทรัพย์รวมหมื่นล้าน สอบต่อ 'อดีตพระอลงกต-หมอบี' 24 ประเด็น
- บช.ก.แจงคืบหน้าคดีแอบอ้างวัดพระบาทน้ำพุรับบริจาค สอบพยานแล้ว 20 ปาก
- ตร.แถลงจับ 'สีกากอล์ฟ' 3 ข้อหาหนัก พบเงินหมุนเวียน 385 ล. เตรียมขยายผลโยงเว็บพนัน
- ตำรวจ ปปป. ค้นวัดปากน้ำ - วัดโสธร คดีคลิปพัวพัน 'สีกา ก.' - พระเทพวชิวธีรคุณ ยอมสึก
- รอง ผบช.ก.เดินหน้าสางคดี 'สีกากอล์ฟ' หาหลักฐานเอาผิดอาญา 13 ทิดโกงเงินวัด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา