"..นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดเกี่ยวกับพรรคการเมืองในช่วงเวลา ‘ปี่กลอง’ กำลังโหมโรงโค้งสุดท้าย ปูทางไปสู่การหาเสียงเต็มแม็กซ์ในช่วงหลังปีใหม่ ก่อนถึงวันหย่อนบัตร 8 ก.พ.นี้..."
เห็นหน้าค่าตาพรรคการเมือง และผู้สมัคร สส. ‘ตัวละครสำคัญ’ ทางการเมืองกันไปแทบทั้งกระดานแล้ว ในสมรภูมิศึกเลือกตั้ง 2569 ที่กำลังจะมาถึงอีกราว 1 เดือนเศษข้างหน้า โดยระหว่าง 27-31 ธ.ค.นี้ กกต.จะเปิดรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ รวมถึงแคนดิเดตนายกฯ ก่อนที่พรรคการเมืองทยอยเดินหน้าหาเสียงอย่างเต็มสูบตั้งแต่หลังปีใหม่เป็นต้นไป
ขณะที่บรรดาแคนดิเดตนายกฯของแต่ละพรรค เริ่มขึ้นเวที ‘ดีเบต’ ประชันวิสัยทัศน์กันบ้างแล้ว ทั้งช่องสีเขียวย่าน ถ.วิภาวดีฯ และช่องสีน้ำเงิน ย่านบางนา รวมถึงรายการข่าวต่าง ๆ ที่เชิญแคนดิเดตนายกฯแต่ละพรรคไปสัมภาษณ์ถึงนโยบายต่าง ๆ ที่จะใช้หาเสียง
ทว่ามีพรรคที่อาจไม่ได้ไปต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า อย่าง ‘พลังประชารัฐ’ (พปชร.) หนึ่งในตัวแทนฝ่ายอนุรักษนิยมพรรคสำคัญ ที่ถูกก่อร่างสร้างขึ้นเมื่อปี 2561 เพื่อสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหารปี 2557 เนื่องจากกระแสข่าวหนาหูว่า ‘ลุงป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ 3 ป.ตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค เหลือเพียงเก้าอี้หัวหน้าพรรคอย่างเดียว ส่งผลให้ลูกพรรคหลายคนทยอยเทพรรค ไปเปิดตัวอยู่พรรคใหม่ บางคนตัดสินใจเว้นวรรคทางการเมือง

@ ‘ลุงป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านหลังรัฐประหารปี 2557 กลุ่มทหารสาย ‘บูรพาพยัคฆ์’ นำโดย ‘พี่น้อง 3 ป.’ มีบทบาทสำคัญ และสถาปนาอำนาจนำในการบริหารประเทศ ออกกฎหมาย-คำสั่งต่าง ๆ มากมาย รวมถึงรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ถูกบางพรรคมองเป็นปัญหา ‘กร่อนเซาะบ่อนทำลาย’ ประชาธิปไตยไทยในปัจจุบัน
ทว่า พปชร.สามารถบินสูงได้แค่หลังการเลือกตั้งปี 2562 ที่หอบหิ้ว สส.เข้าสภาฯได้มากถึง 116 คน ผลักดัน ‘ลุงตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น้องเล็ก 3 ป. เป็นนายกฯคำรบที่สองได้สำเร็จ หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์ ‘พรรคแตก’ เริ่มมีหลายคนทยอยออกมา ไม่ว่าจะเป็น 1 ใน 3 ส.อย่าง ‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’ พร้อมด้วยกลุ่ม ‘4 กุมาร’ ถัดมาคือกลุ่ม ‘ผู้กองคนดัง’
กระทั่งในปี 2566 ‘ลุงป้อม’ พา สส.เข้าสภาฯได้เพียง 40 ที่นั่ง น้อยลงกว่าครึ่ง ท่ามกลางกระแสฉันทามติ ‘เบื่อลุง’ ส่งผลให้ ‘กลุ่มบ้านใหญ่’ เป็นกลุ่มสุดท้ายที่โยกย้ายไปหาตำแหน่งแห่งที่ทางการเมืองในบ้านหลังใหม่ จนทุกวันนี้ ‘บ้านป่าฯ’ ฐานที่มั่นทางการเมืองสำคัญของ ‘ลุงป้อม’ แทบจะกลายเป็น ‘บ้านร้าง’
การลงจากหลังเสือของ ‘ลุงป้อม’ ครั้งนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นการปิดอำนาจ ‘3 ป.’ ที่ครองอำนาจนำในสังคมไทยมาอย่างยาวนานนับ 10 ปี ไปอย่างเบ็ดเสร็จแทบจะสมบูรณ์ และเป็นการเปิดศักราชใหม่ของสมรภูมิการเมือง 3 ก๊กในช่วงเวลานี้ ประกอบไปด้วย พรรคประชาชน (ส้ม) พรรคเพื่อไทย (แดง) และพรรคภูมิใจไทย (น้ำเงิน)
ตัวแสดงแทนของฝ่ายอนุรักษนิยมที่น่าจับตาในช่วงเวลานี้ หนีไม่พ้น ‘ก๊กน้ำเงิน’ อย่างภูมิใจไทย ที่ขึ้นเป็นรัฐบาลได้สำเร็จ ผ่านการผลักดันของ ‘ก๊กส้ม’ ปชน. เพื่อหวังเปิดทางแก้รัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายโดน ‘ต้มส้ม’ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ ‘ภูมิใจไทย’ ขึ้นเป็น ‘หัวแถว’ ได้สำเร็จ อัพไซส์จากพรรคขนาดกลาง ขึ้นเป็นพรรคใหญ่โดยสมบูรณ์ เดินสาย ‘พลังดูด’ ดึง สส.ระดับเกรดเอ-บ้านใหญ่ เข้าพรรคได้จำนวนมาก และกลายเป็นพรรคที่มีอดีต สส.จากการเลือกตั้งปี 2566 เยอะที่สุดในตอนนี้
ขณะที่ ‘ก๊กแดง’ อย่างเพื่อไทย เสียรังวัดทางการเมืองไปไม่น้อย แม้จะสามารถ ‘ดีล’ จนจัดตั้งรัฐบาล ปูทางเป็นรัฐบาล และมีนายกฯถึง 2 คนคือ เศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร ทว่าเหตุการณ์คลิปเสียงสนทนากับ ‘ฮุน เซน’ กลายเป็น ‘จุดตาย’ ส่งผลให้รัฐนาวาสีแดงต้องล่มลงอีกครั้ง และ สส.เลือดไหลออกไปเป็นจำนวนมาก การผลักดัน ‘ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์’ นักวิชาการ ‘ไฮโปรไฟล์’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ‘สมชาย-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์’ ให้เป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค หวังให้เป็น ‘ชินวัตรคนที่ 5’ นั่งเก้าอี้นายกฯคนที่ 33 จะสำเร็จหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครกล้ายืนยันได้

‘ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์’
ส่วน ‘ก๊กส้ม’ ดูเสียเชิงทางการเมืองมากที่สุด จนถูกหลายฝ่ายตราหน้าว่าเป็นพวก ‘ไร้เดียงสาทางการเมือง’ จากเหตุการณ์ ‘เชื่อใจ’ สีน้ำเงิน ผลักดัน ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นั่งเก้าอี้นายกฯคนที่ 32 จนพรรคสีน้ำเงินสามารถขึ้นไปเป็นหัวแถวฝ่ายอนุรักษนิยมได้ในตอนนี้

‘อนุทิน ชาญวีรกูล’
ตัดภาพมาในการเลือกตั้งครั้งถัดไป เริ่มมี ‘วิวาทะ’ ระหว่างพรรคการเมืองออกมามากขึ้น จุดชนวนจาก ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่คัมแบ็กกลับมาช่วยพรรค ไปขึ้นเวทีดีเบตที่ค่ายสีเขียว ย่านวิภาวดีฯ พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม” ซึ่งเป็นพรรคการเมือง ‘พันธมิตร’ สำคัญของ ‘ก๊กน้ำเงิน’

‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’
ส่งผลให้ ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ หรือ ‘ผู้กองธรรมนัส’ ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ตอบโต้ด้วยการขุดสารพัดคดีความยุครัฐบาลพรรค ปชป.ในอดีต พร้อมกับสวนว่า อย่าพูดเอาหล่อ แต่ไม่มีผลงานอะไร แต่เรื่องนี้ ปชป.ไม่สนใจ ยังเดินหน้าถึงกับทำเป็น ‘มติพรรค’ ด้วยซ้ำว่า หลังการเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่ร่วมรัฐบาล หากมี ‘พรรคกล้าธรรม’

‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’
ถัดมา ‘เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ หัวหน้าพรรค ปชน.ประกาศจุดยืนชัดถ้อยชัดคำเช่นกันว่า จะไม่ยอมขานชื่อ ‘อนุทิน’ เป็นนายกฯอีกอย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน ปชน.ไม่สามารถร่วมรัฐบาลกับ ‘พรรคกล้าธรรม’ ได้ หลังก่อนหน้านี้ตอบเลียบ ๆ เคียง ๆ เรื่องไม่ยอมจับมือกับพรรคที่มีครหา ‘ทุนเทา’

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน
เพียงไม่นานนัก ‘อนุทิน’ ออกมาสวนกลับกล่าวหาว่า ปชน.หมกมุ่นแต่กับเรื่อง ‘มาตรา 112’ ดังนั้นพรรคภูมิใจไทย จะไม่มีทางจับมือกับ ปชน.อย่างแน่นอน เว้นแต่จะเลิกหมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทำเอา ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ โต้กลับอย่างดุเดือดถึง ‘อนุทิน’ ขอให้เลิกใช้นิทานหลอกเด็กเรื่อง มาตรา 112 ได้แล้ว พร้อมย้ำว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ คือการแข่งตั้งรัฐบาลระหว่าง ปชน. กับภูมิใจไทย พร้อมปลุกประชาชนให้เลือก ปชน.ถล่มทลาย ป้องกันไม่ให้พรรคอันดับ 2 ไปจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคอันดับ 1 ซ้ำรอยปี 2566 อีก
แอ็คชั่นดังกล่าวของ ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ เรียกได้ว่ากระทบทั้ง ‘อนุทิน’ และ ‘ค่ายสีแดง’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะทิ้งท้ายเรื่องตั้งรัฐบาลแข่ง ย่อมหมายถึง ‘เพื่อไทย’ ที่ฉีก MOU กับพรรคก้าวไกล (ขณะนั้น) หลังเลือกตั้งปี 2566 ไปทำ ‘ปฏิญญาช็อคมินต์’ ร่วมกับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมเดิม ตั้งรัฐบาลดัน ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ
หากจับการเคลื่อนไหวของแต่ละก๊ก-แต่ละพรรคในช่วงเวลานี้ อาจสามารถจัดกรุ๊ปคร่าว ๆ ได้ว่า
1.ฝ่ายประกาศตัวชัด ต่อต้าน ‘ทุนเทา’ นำโดยพรรค ปชน. พรรคเพื่อไทย พรรค ปชป. และพรรคเล็กอื่น ๆ อีกบางพรรค เช่น พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) พรรคไทยก้าวใหม่ พรรคเศรษฐกิจ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นต้น
2.ฝ่ายประกาศตัวชัด ไม่ร่วมสังฆกรรมกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขมาตรา 112 แทบจะทุกองคาพยพทางการเมืองในตอนนี้ นำโดยพรรคภูมิใจไทย และพรรคกล้าธรรม รวมถึงพรรคเล็กบางพรรค เช่น พรรครักชาติ เป็นต้น ขณะเดียวกันพรรคที่ ‘ต้านทุนเทา’ ไปด้วย ‘ค้านแก้ ม.112’ ไปด้วย เช่น ทสท. ปชป. ไทยก้าวใหม่ พรรคเศรษฐกิจ รทสช. ก็สามารถจัดให้อยู่ในกรุ๊ปนี้ได้เช่นเดียวกัน
ส่วนสมการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 2569 จะออกมาในรูปแบบใดได้บ้าง?
1.ฝ่ายอนุรักษนิยมเต็มสูบ นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม และพรรคเล็กอื่น ๆ โดยไม่มี เพื่อไทย ปชน. ปชป. อย่างไรก็ดีโมเดลนี้แม้จะมีความเป็นไปได้ แต่ค่อนข้างยากมาก เนื่องจาก 2 พรรคหลักอย่างภูมิใจไทย และกล้าธรรม ต้องได้ สส.จำนวนมากรวมกันเกินกว่า 250 เสียง
2.ฝ่ายอนุรักษนิยม ‘ประนีประนอม’ นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย พรรคกล้าธรรม และพรรคเล็กอื่น ๆ โดยไม่มี ปชน. และ ปชป. โมเดลนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด แม้ว่า ‘แดง’ และ ‘น้ำเงิน’ ดูเผิน ๆ เหมือนผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ แต่ด้วยความ ‘เขี้ยวลากดิน’ ตามปรัชญาการเมือง ‘ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร’ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
3.ฝ่ายอนุรักษนิยมผสมก้าวหน้า นำโดยพรรค ปชน. พรรคเพื่อไทย พรรค ปชป. และพรรคเล็กอื่น ๆ โดยไม่มีพรรคภูมิใจไทย และพรรคกล้าธรรม โมเดลนี้ไม่ใช่ไม่มีโอกาส แต่แนวโน้มค่อนข้างยาก เพราะปัจจัยสำคัญคือ สถานะของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ นายใหญ่ค่ายแดง ที่ยังอยู่ในเรือนจำ ทำให้เป็นไปได้ยากมากที่จะมาเป็นพันธมิตรกับ ‘ส้ม’ ในช่วงเวลานี้
4.ฝ่ายก้าวหน้าสถาปนาอำนาจ นำโดยพรรค ปชน. เป็นพรรคหลัก ได้ สส.แลนด์สไลด์เกินกว่า 251 เสียง จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว โมเดลนี้โอกาสเกิดขึ้นน้อยมากที่สุด เพราะกระแส ‘ชาตินิยม’ ที่กำลังสะพัดหนักในช่วงนี้ อาจทำให้ ‘ส้ม’ กระแสตกลง โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณชายแดน แถมปัจจัยแคนดิเดตนายกฯที่ดูแล้ว ‘ออร่า’ ไม่เทียบเท่าพรรคหลักอื่น ๆ อาจบินได้ไม่สูงเท่าเก่าเหมือนปี 2562 และ 2566 ที่กระแส ‘พ่อของฟ้า-พิธาฟีเวอร์’ แบก
นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดเกี่ยวกับพรรคการเมืองในช่วงเวลา ‘ปี่กลอง’ กำลังโหมโรงโค้งสุดท้าย ปูทางไปสู่การหาเสียงเต็มแม็กซ์ในช่วงหลังปีใหม่ ก่อนถึงวันหย่อนบัตร 8 ก.พ.นี้
สมการสูตรจัดตั้งรัฐบาลจะออกมาแบบไหน ขึ้นอยู่กับเสียงประชาชนเท่านั้น

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา