"...ล่าสุด มีความเคลื่อนไหวจาก ‘อดีตบิ๊กเนมค่ายสีฟ้า’ หลายคน ทยอยกลับเข้าพรรค หลังต้องแตกฉานซ่านเซ็นไปตั้งแต่ปี 2562 โดยเกือบทั้งหมดมีแนวทางชู ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. และอดีตนายกฯ กลับมาเป็น ‘หัวขบวน’ อีกครั้ง เพื่อกอบกู้วิกฤติศรัทธาของพรรค ซึ่งกำลังตกต่ำอย่างหนัก ดังนั้นต้องรอดูว่า ‘เดอะ มาร์ค’ จะรับ ‘เผือกร้อน’ ชิ้นนี้หรือไม่ ..."
ปี่กลองการเมืองกำลังโหมระรัวอีกครั้ง นับถอยหลังอีกไม่เกิน 4 เดือน จะมีการเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่ ถ้า ‘ภูมิใจไทย’ (ภท.) ทำตามสัญญา MOA ที่ให้ไว้กับ ‘พรรคประชาชน’ (ปชน.) ไม่ล้มดีลนี้ไปเสียก่อน โดยในการเลือกตั้งครั้งหน้า คาดว่าจะมาพร้อมกับการทำ ‘ประชามติ’ เรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ส่วนจะพ่วงกรณียกเลิก MOU43-44 ด้วยหรือไม่นั้น คงต้องรอดูกันต่อไป
ในสมรภูมิ ‘การเมือง 3 ก๊ก’ ณ ปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ฝ่ายอนุรักษนิยม’ กำลังกระแสสูง เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ปะทะกันแนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ยืดเยื้อมาหลายเดือน และยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติในเร็ว ๆ นี้ โดยท่าทีล่าสุดของ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ยังคงขึงขัง และมอบนโยบาย ‘ทางการทหาร’ ให้กับ ‘กองทัพ’ ดำเนินการเต็มอัตราศึก
ขณะที่อีก ‘2 ก๊ก’ กำลังเพลี่ยงพล้ำอย่างหนัก โดย ‘ก๊กแดง’ ถูกโค่นรัฐบาล หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ พ้นจากเก้าอี้นายกฯคนที่ 31 จากเหตุการณ์ ‘คลิปเสียง’ สนทนาระหว่างเธอและ ‘ฮุน เซน’ ประธานวุฒิสภากัมพูชา แถมยังผีซ้ำด้ำพลอยเมื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ นายใหญ่ผู้นำทางจิตวิญญาณ และ ‘สทร.’ ของก๊กแดง ถูกคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง บังคับโทษกลับไปจำคุก 1 ปี เนื่องจากที่ผ่านมาถูกส่งไปรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยมิชอบ ปัจจุบัน ‘สทร.’ ถูกส่งไปคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม โดยเหลือแค่ ‘อดีตภริยา-บุตร-เครือญาติใกล้ชิด’ มาเข้าเยี่ยมเท่านั้น

ภาพ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร จาก www.innnews.co.th
ด้าน ‘ก๊กส้ม’ ก็กำลังบอบช้ำทางการเมืองอย่างหนักเช่นกัน ตั้งแต่ต้นปี 2568 ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ จนต้องเคลื่อนพลมาสู่ยานพาหนะคันที่ 3 อย่าง ‘พรรคประชาชน’ ดัน ‘ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ มาเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งถูกมองว่า ‘บารมียังไม่ถึง’ เมื่อเทียบกับ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ อดีตผู้นำพรรคส้มก่อนหน้า ขณะเดียวกันในเหตุการณ์สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ‘ก๊กส้ม’ ที่ถูกมองว่าเป็น ‘ซ้ายกลาง’ อาจต้องเสียคะแนนนิยมไปให้กับ ‘ฝ่ายขวา’ ไม่มากก็น้อย
มองเผิน ๆ อาจดูเหมือนว่า ‘ฝ่ายขวา’ กำลังได้เปรียบ ทว่าหากส่องลงไปให้ลึกกว่านี้พบว่า ‘กลุ่มอนุรักษนิยม’ ในปัจจุบัน แตกฉานซ่านเซ็นไปหลายพรรค-หลายก๊กการเมือง หากนับนิ้วเอาที่ยังพอมีบารมี หรือนั่งในฝ่ายนิติบัญญัติ ปัจจุบันเหลืออยู่อย่างน้อย 4 พรรค ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
ประเด็นที่น่าสนใจ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า กูรูการเมืองหลายสำนักประเมินกันว่า ประเทศไทยจะ ‘ขวาหัน’ กันอย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างแรงกดดันทางการเมืองไปยังพรรคฝ่ายเสรีนิยมขวากลางอย่าง ‘เพื่อไทย’ และพรรคซ้ายกลางอย่าง ‘ปชน.’ ไม่มากก็น้อย
ด้วยเหตุผลข้างต้นทำให้ขณะนี้เริ่มการจัดกระบวนทัพกันใหม่ในฝ่ายอนุรักษนิยม แบ่งเป็น 4 กลุ่มก้อนที่น่าสนใจ ดังนี้
1.พรรคภูมิใจไทย แน่นอนว่ากำลัง ‘เนื้อหอม’ เพราะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่สำคัญยังเรืองบารมีใน ‘สภาฯสูง’ และ ‘องค์กรอิสระ’ บางแห่ง ทำให้ สส.-นักเลือกตั้ง หลายกลุ่มขั้ว แม้แต่ขั้วตรงข้ามอย่าง ‘เพื่อไทย’ ยังยอมศิโรราบ ยอมมาทยอยสมัครเป็นสมาชิกพรรค แพ็คสรรพกำลังเตรียม ‘กระแส-กระสุน’ ชิงชัยในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
โดยท่าทีล่าสุดระดับ ‘บิ๊กเนม’ ของหลายพรรค ที่เตรียมเข้ามาซบ ‘ก๊กน้ำเงิน’ เช่น ‘ซุ้มมะขามหวาน’ ที่ยอมตีจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อย่างน้อย 8 คน นำโดย ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ มาซบ ‘ภูมิใจไทย’ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มขั้วจาก ‘ก๊กแดง’ เช่น ศักดา วิเชียรศิลป์ อดีต สส.กาญจนบุรี ที่หอบ สส.แดงภาคกลาง มาร่วม ‘ก๊กน้ำเงิน’ ตั้งแต่ไก่โห่ จนได้รับการปูนบำเหน็จเป็น รมช.มหาดไทย หรือกรณีล่าสุด ‘พี่น้องปัทมะ’ ทั้ง ‘นพดล-โกศล’ ซึ่งเป็นมือไม้รับใช้ ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ มายาวนาน ก็ยอมหัก ‘นายใหญ่’ เตรียมมาอยู่ ‘ก๊กน้ำเงิน’ แล้วเช่นกัน
ดังนั้นในการเลือกตั้งรอบหน้า คาดกันว่า ‘ก๊กน้ำเงิน’ น่าจะเป็น ‘หัวแถว’ นำทัพของฝ่ายอนุรักษนิยม โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ ‘บ้านใหญ่อีสานใต้’ เพื่อรวบรวมสรรพกำลัง ไปต่อสู้กับ 2 ก๊กที่เหลือ โดยเฉพาะ ‘ก๊กส้ม’ ที่ตอนนี้อ่อนกำลังลง จากระแส ‘ขวาหัน’ ในปัจจุบัน
2.วิกฤติศรัทธาใน ปชป. โดยค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม ถูกมองว่าเป็นตัวแทนฝ่ายอนุรักษนิยมมายาวนานเกือบ 80 ปี ทว่าต้องมาเสียรังวัดทางการเมือง ตั้งแต่ปี 2562 จากกลยุทธ์ของ ‘ฝ่ายขวาใหม่’ ภายหลังการรัฐประหารปี 2557 มีการจัดตั้งพรรคการเมืองใกล้ชิดคณะรัฐประหารขึ้นมาสืบทอดอำนาจ จนทำให้ ปชป.ไม่ถูก ‘ใช้งาน’ อีกต่อไป ส่งผลให้ได้ สส.ต่ำร้อยในรอบหลายปี และสูญพันธุ์ใน กทม.ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพรรค อย่างไรก็ดียังคงผนึกกำลังกับฝ่ายอนุรักษนิยมได้เป็นรัฐบาลอยู่จนเกือบ 4 ปี
ทว่าในปี 2566 เมื่อ ‘ก๊กแดง-ก๊กส้ม’ ผงาดได้ สส.จำนวนมาก แย่งชิงกันจัดตั้งรัฐบาล จนหวยมาออกที่ ‘เพื่อไทย’ ซึ่งใช้เหลี่ยมการเมืองปาดหน้าไป ปชป.ยิ่งตกต่ำอย่างหนัก เมื่อมีการเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่ ถูกมองว่ามีความพยายามอยากไปร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย และสุดท้ายสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นจริง เมื่อ ‘ก๊กน้ำเงิน’ โดนอัปเปหิพ้นรัฐบาล ‘ค่ายสะตอ’ ได้เข้าไปเสียบร่วมรัฐบาลท่ามกลางความขัดแย้งดังกล่าว แต่ก็อยู่ในอำนาจได้ราว 2 เดือนเท่านั้น ก็ต้องพ้นจากเก้าอี้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ครม.พ้นทั้งคณะ จากกรณีคลิปเสียง ‘แพทองธาร-ฮุนเซน’
ล่าสุด มีความเคลื่อนไหวจาก ‘อดีตบิ๊กเนมค่ายสีฟ้า’ หลายคน ทยอยกลับเข้าพรรค หลังต้องแตกฉานซ่านเซ็นไปตั้งแต่ปี 2562 โดยเกือบทั้งหมดมีแนวทางชู ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. และอดีตนายกฯ กลับมาเป็น ‘หัวขบวน’ อีกครั้ง เพื่อกอบกู้วิกฤติศรัทธาของพรรค ซึ่งกำลังตกต่ำอย่างหนัก ดังนั้นต้องรอดูว่า ‘เดอะ มาร์ค’ จะรับ ‘เผือกร้อน’ ชิ้นนี้หรือไม่

@ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
3.นับถอยหลัง พปชร.เตรียม ‘ปิดบ้านป่าฯ’ หากย้อนกลับไปหลายปีก่อน พรรคนี้ถือเป็นพรรคการเมืองสำคัญสืบทอดอำนาจหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 เคยขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมือง ด้วยการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลระหว่างปี 2562-2566 ชู ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯสมัยที่สอง อย่างไรก็ดีในช่วงท้ายของรัฐบาลชุดก่อน พรรคเต็มไปด้วย ‘เสือสิงห์กระทิงแรด’ ทำให้ ‘พรรคแตก’ แบ่งเป็น 2 ขั้วคือ ‘ขั้วลุงป้อม’ ที่หนุน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อีกขั้วคือ ‘ขั้วลุงตู่’ ซึ่งแยกออกมาทำพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในปัจจุบัน
ตัดภาพกลับมาปัจจุบัน สส.พปชร.ลดน้อยถอยลงอย่างมาก เนื่องจากการแยกตัวออกไปของ 2 กลุ่มขั้วการเมืองสำคัญ ได้แก่ 1.กลุ่ม ‘ผู้กองธรรมนัส’ ที่หอบหิ้ว สส.ในพรรคไปหลายสิบคน ไปก่อตั้ง ‘พรรคกล้าธรรม’ 2.กลุ่ม ‘มะขามหวาน’ ที่หอบ สส.เพชรบูรณ์ ทั้งหมดในพรรค เตรียมไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย ส่งผลให้ยังเหลือ สส.ระดับบิ๊กเนมเคียงข้าง ‘ลุงป้อม’ น้อยมาก เช่น ตระกูลธนาคมานุสรณ์ บ้านใหญ่สิงห์บุรี และตระกูลเทียนทอง สาย ‘ขวัญเรือน’ บ้านใหญ่สระแก้ว เป็นต้น
ทำให้กูรูการเมืองบางคน ประเมินกันว่า หลังจากหมดเส้นตาย 4 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ คาดกันว่า พปชร.จะเลือดไหลออกอีกระลอก เพื่อไปสังกัด ‘ก๊กน้ำเงิน-ก๊กแดง’ จนทำให้ตัวผู้สมัคร สส.แทบจะหมดพรรค จนอาจถึงเวลา ‘ปิดบ้านป่าฯ’ หลังเปิดมานานถึง 11 ปี

@ ประวิตร วงษ์สุวรรณ
4.รทสช.พรรคแตก โดยกรณีนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายรัฐบาลแพทองธาร เดิมพรรคนี้คือตัวแทนกลุ่มอนุรักษนิยมเก่าที่สนับสนุน ‘ลุงตู่’ ทว่าเมื่อเข้าร่วมรัฐบาลแพทองธารแล้ว เกิดความกินแหนงแคลงใจกันระหว่าง ‘สปอนเซอร์’ และ ‘แกนนำพรรค’ ทำให้ต้องแยกกันเดิน โดย สส. 36 คน แบ่งเป็น ‘กลุ่มสปอนเซอร์’ จำนวน 16 คน นำโดย ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ ที่ตอนนี้หอบหิ้ว ‘กลุ่ม 16 ของเขาไปร่วมรัฐบาลภูมิใจไทยเรียบร้อย
ทว่าที่น่าสนใจในกลุ่ม 16 ที่เหลือนั้นกลับแตกแยกซ้ำเข้าไปอีก เมื่ออีก 12-14 คนในกลุ่มของ ‘ขิง’ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อาจโบกมือลาไม่ไปต่อกับ รทสช. โดยกลุ่ม สส.ใต้-กลางตอนใต้ ที่แนบแน่นกับ ‘ขิง’ ย้ายไปสังกัด ‘ก๊กน้ำเงิน’ เรียบร้อย เหลือแต่ ‘เอกนัฏ’ ยังอยู่ระหว่างตัดสินใจ ทำให้กลุ่ม ‘หัวหน้าพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ เหลือ สส.ในมือนับนิ้วด้วยมือข้างเดียวได้ นั่นจึงอาจทำให้ รทสช.ถึงคราวล่มสลาย หลังเป็นตัวแทนให้ฝ่ายอนุรักษนิยมฝั่ง ‘ลุงตู่’ มาไม่กี่ปีเท่านั้น
ความเคลื่อนไหวทั้ง 4 เหตุการณ์ดังกล่าว มีความสำคัญในการจัดกระบวนทัพใหม่ของ ‘ฝ่ายอนุรักษนิยม’ หวังกระชับอำนาจให้เข้ามือเพื่อไปสู้ศึกกับ ‘ก๊กแดง’ ที่แม้จะอ่อนแรง แต่ก็ยังเรืองอำนาจพอตัว และ ‘ก๊กส้ม’ ที่แม้กระแสยังเริ่มดรอปลง แต่ก็ยังถือว่าสูงปรี๊ดในหมู่ ‘คนรุ่นใหม่’

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา