
“…หนี้นอกระบบจะช่วยนายทุนท้องถิ่นในการสะสมทุน โดยได้กำไรจากดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด ทำให้เขารวยเร็วขึ้น และความเสี่ยงก็ต่ำ เมื่อนายทุนสะสมทุนด้วยด้วยกลไกแบบนี้ เงินที่เพิ่มขึ้นนี้ เขาสามารถนำไปใช้ในธุรกิจที่ถูกกฎหมายหรือไม่ถูกก็ได้ แต่จะไปในนามบุญคุณ และยังได้ความสัมพันธ์กับคนที่เขาช่วยเหลือด้วย…”
................................
ท่ามกลางสถานการณ์ ‘หนี้สินครัวเรือน’ ของประเทศไทยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยข้อมูลล่าสุดจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนของ ‘สถาบันการเงิน’ ในระบบ เช่น ธนาคารพาณิชย์ สหกรณ์ออมทรัพย์ และสถาบันการเงินอื่นๆ มีจำนวน 16,351,063 ล้านบาท คิดเป็น 87.4% ต่อจีดีพี
แต่สถานการณ์ที่น่าห่วงไม่แพ้กัน คือ ‘หนี้นอกระบบ’ ที่อยู่ในระดับสูง และหนี้นอกระบบเหล่านี้ ได้สร้างปัญหาสังคมไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด การใช้กำลังข่มขู่หรือทำร้ายลูกหนี้ หรือการประจานลูกหนี้ให้ได้รับความอับอาย และที่สำคัญหนี้นอกระบบดังกล่าวอาจก่อปัญหาต่อภาคการเงินในระดับประเทศได้
เมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้เผยแพร่รายงานผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ โครงการสำรวจและวิเคราะห์สถานการณ์หนี้นอกระบบไทย : การวิเคราะห์เชิงลึกทางพฤติกรรมและบริบททางเศรษฐกิจ จัดทำโดย คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนของ ธนาคารกรุงไทยฯ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอสาระสำคัญรายงานผลการศึกษาฯฉบับดังกล่าว รวมถึงข้อเสนอแนะต่างๆในรายงานฉบับนี้ ที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา ‘หนี้นอกระบบ’ ในประเทศไทยอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@คาด‘หนี้นอกระบบ’2.2 ล้านล.คิดเป็น 13.4% ของหนี้ทั้งระบบ
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
ความสำคัญของหนี้นอกระบบในบริบทเศรษฐกิจและสังคมไทย
จากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO) ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) สถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจ และสถาบันการศึกษาต่างๆ พบว่า ในหลายปีที่ผ่านมา หนี้นอกระบบในประเทศไทย มีขนาดใหญ่กว่าที่หน่วยงานราชการบางแห่งเคยประเมินไว้
ด้านหนึ่ง เป็นเพราะการให้คำจำกัดความของคำว่า ‘หนี้นอกระบบ’ ที่หลากหลาย อีกด้านหนึ่ง เกิดจากลักษณะการให้กู้ยืมที่ถูกนับรวมช้า หรืออาจไม่เคยถูกเปิดเผยต่อหน่วยงานทางการ
ในหลายชุมชน โดยเฉพาะชุมชนชนบทและกึ่งเมือง ยังมีระบบการเงินส่วนบุคคลและในเครือญาติหรือเพื่อนร่วมงานที่หมุนเวียนกันอยู่ โดยไม่มีหลักฐานทางเอกสารอย่างชัดเจน ผู้กู้และเจ้าหนี้ต่างอาศัยหลักความเชื่อใจ หลักประกันเชิงสังคม และผลประโยชน์ในระยะสั้น จึงมีโอกาสน้อยที่ข้อมูลเหล่านี้ จะสะท้อนปรากฏในเครดิตบูโรหรือในรายงานของสถาบันการเงินทางการ
ปัญหาหนี้นอกระบบ ยังสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไทย เช่น ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาส แรงงานนอกระบบที่ขาดหลักประกัน รายได้ไม่แน่นอน และขาดประวัติทางการเงินที่น่าเชื่อถือ
ปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นเหตุผลทำให้ผู้ที่ไม่สามารถเข้าสู่เงื่อนไขการกู้ยืมในระบบ ต้องแสวงหาช่องทางแหล่งเงินกู้อื่นๆ จนกระทั่งก่อให้เกิดหนี้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ความเสี่ยงสูง และผลกระทบทางสังคมที่ตามมา
ภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถานการณ์ด้านรายได้ของคนในหลายภาคอาชีพทรุดลงอย่างรุนแรง และทำให้การเข้าถึงสถาบันทางการเงินเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากขาดเอกสารแสดงรายได้หรือหลักประกันที่พอเพียง
ปรากฏการณ์นี้ ส่งผลให้คนจำนวนมากหันไปกู้ยืมนอกระบบ ซึ่งให้การอนุมัติรวดเร็ว หรือลดขั้นตอนการตรวจสอบลงอย่างมาก แม้ต้องแลกมาด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง หรือเงื่อนไขการทวงหนี้ที่เสี่ยงต่อการถูกคุกคามในหลายรูปแบบก็ตาม
องค์ความรู้ทางวิชาการ หรือรายงานของสถาบันวิจัยหลายแห่ง ได้เน้นย้ำว่า หากหนี้นอกระบบมีขนาดใหญ่จนกลายเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างหนี้ครัวเรือนโดยรวม อาจก่อให้เกิดผลลบในระดับมหภาค เช่น ลดทอนกาลังซื้อ (purchasing power) ของประชาชน ทำให้ความเสี่ยงด้านสินเชื่อของระบบการเงินในภาพรวมสูงขึ้น และอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเมื่อกลุ่มใหญ่ของผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ในระบบได้อย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมสถานการณ์หนี้นอกระบบ : ข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ
งานวิจัยนี้ ได้จัดทำการวิเคราะห์ภาพรวมของหนี้นอกระบบในหลายมิติ ทั้งในแง่มูลค่าของหนี้ สัดส่วนครัวเรือนที่ถือหนี้นอกระบบ และรูปแบบการกู้ยืมที่แตกต่างจาก ‘หนี้ในระบบ’ ตัวเลขที่ได้สะท้อนความจริงที่ว่า หนี้นอกระบบอาจไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างเล็กๆ ซ่อนเร้นในสังคม แต่มีความกว้างขวางและเกี่ยวโยงกับภาคเศรษฐกิจในหลายส่วน
ข้อมูลเชิงปริมาณจากการสำรวจ พบว่าครัวเรือนโดยส่วนใหญ่ของกลุ่มตัวอย่าง (มากกว่า 3,500 ครัวเรือน) มีหนี้สินในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหนี้ในระบบหรือนอกระบบ หรือทั้งสองประเภทควบคู่กัน โดยสัดส่วนของผู้ที่มีหนี้นอกระบบเพียงอย่างเดียว อาจไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับจานวนครัวเรือนทั้งหมด หากแต่เมื่อคำนึงถึงกรณีที่ครัวเรือนใดครัวเรือนหนึ่ง มีหนี้ทั้งสองระบบ สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น
เมื่อนำข้อมูลคุณภาพมาเสริมก็ยิ่งปรากฏชัดว่า ความเข้าใจของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับ ‘หนี้นอกระบบ’ มีความหลากหลาย บางกลุ่มจะไม่นับรวมเงินกู้จากญาติหรือเพื่อนโดยไม่มีดอกเบี้ยว่า เป็นหนี้นอกระบบ เพราะเห็นว่าเป็นการช่วยเหลือกันมากกว่า ขณะที่บางกลุ่มจะนับรวมทุกกรณีที่ไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการนิยามในงานวิจัยนี้
ด้านมูลค่าหนี้นอกระบบ งานวิจัยได้เปรียบเทียบกับการคำนวณของสำนักงานสถิติแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ตัวเลขที่โครงการศึกษาของคณะผู้วิจัยประเมินออกมาสูงกว่าอย่างชัดเจน โดยอาจอยู่ในระดับเกือบ 2.20 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 13.4 ของมูลค่าหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ซึ่งขัดแย้งกับตัวเลขที่หน่วยงานทางการเคยรายงานว่าหนี้นอกระบบอาจมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.28–1.33



ทั้งนี้ ความแตกต่างกันอย่างมากนี้ถูกอธิบายว่าเกิดจาก ‘นิยามหนี้นอกระบบ’ ที่กว้างกว่า หรือละเอียดมากกว่า เพราะงานวิจัย ได้นับรวมถึงรูปแบบการยืมเงินระหว่างบุคคลที่ไม่เป็นทางการ ปราศจากเอกสาร หรือไม่มีดอกเบี้ย ตลอดจนมีการชี้ให้เห็นรูปแบบการนับรวมแชร์หรือเงินกู้ระยะสั้นแบบต่างๆ ที่อาจไม่ปรากฏในบัญชีรายงานของใคร
ในมิติของความหลากหลาย การสัมภาษณ์เชิงลึกได้ค้นพบว่า หนี้นอกระบบ ไม่จำกัดเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น บางครัวเรือนที่มีรายได้ประจำก็ยังใช้หนี้นอกระบบในฐานะ ‘แหล่งเงินกู้เสริม’ เมื่อหมุนไม่ทันกำหนดชำระกับธนาคาร หรือเมื่อต้องการเงินฉุกเฉินแล้วการขอสินเชื่อในระบบล่าช้าเกินไป
บางคนเป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัทที่มีรายได้ต่อเดือนมั่นคง แต่เลือกกู้ยืมนอกระบบผ่านเพื่อนสนิทหรือเจ้าหนี้ในชุมชนที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพราะสามารถตกลงเงื่อนไขได้ยืดหยุ่นกว่า และอาจลดข้อยุ่งยากต่างๆ ได้มากกว่า


@พบพฤติกรรมโยกย้ายเงินกู้‘ในระบบ-นอกระบบ’ไปมา
ข้อมูลพื้นฐานของครัวเรือน : จากการสำรวจและเปรียบเทียบกับหน่วยงานภายนอก
เมื่อพิจารณาจากฐานข้อมูลครัวเรือนที่ทำแบบสอบถาม และเปรียบเทียบกับข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO) ในช่วงปี 2560–2566 จะพบว่า ทิศทางโครงสร้างประชากรครัวเรือนไทยมีขนาดเล็กลง คือ มีการเพิ่มขึ้นของครัวเรือนที่มีสมาชิก 1–2 คน อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ครัวเรือนขนาด 3 คนขึ้นไป มีสัดส่วนลดลง
ในส่วนของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือน พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทีละน้อย แต่ไม่มากพอจะสร้างส่วนเกินทางการเงินที่ชัดเจน ทำให้หลายครัวเรือนต้องก่อหนี้เป็นครั้งคราว เพื่อนำมาใช้จ่ายและผ่อนชำระหนี้ที่มีอยู่เดิม
การสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าครัวเรือนประมาณร้อยละ 50 มีหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็นหนี้ในระบบหรือนอกระบบ แต่สัดส่วนการมีหนี้นอกระบบเพียงอย่างเดียวค่อนข้างต่ำ ส่วนใหญ่มักเป็นรูปแบบหนี้ที่ผสมกันระหว่างในระบบและนอกระบบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อนำข้อมูลจากคณะผู้วิจัยมารวมด้วย จะเห็นได้ว่าหลายครัวเรือนมีความเข้าใจคำว่า ‘หนี้นอกระบบ’ ไม่ตรงกัน มีบางครัวเรือนที่กู้เงินจากเพื่อนหรือญาติ และยังยืนยันว่า ไม่ถือเป็นหนี้นอกระบบ เพราะเป็นการช่วยเหลือที่ไม่คิดดอกเบี้ย หรือคิดดอกเบี้ยต่ำเกินกว่าที่ผู้กู้รู้สึกว่าเป็นปัญหา
งานวิจัยยังพบประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับ ‘การบริหารหนี้ในครัวเรือน’ กล่าวคือ ครัวเรือนจำนวนมากมีการโยกย้ายเงินกู้ระหว่างในระบบและนอกระบบไปมา
ตัวอย่างเช่น มีการกู้ในระบบเพื่อโปะหนี้นอกระบบ หรือกู้นอกระบบเพื่อชำระยอดค้างกับธนาคารที่กลัวว่าจะตามทวงหนี้ดอกเบี้ยล่าช้า แม้ว่าการทำแบบนี้ไม่ใช่ทางออกที่ดีในระยะยาว แต่สะท้อนให้เห็นว่าในสภาพแวดล้อมที่คนต้องการสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน
หนี้นอกระบบกลายเป็นเครื่องมือ “เร่งด่วน” ในการกู้เงินได้ทันที นี่จึงเป็นพื้นที่ว่างที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินทั่วไปยังเติมเต็มได้ไม่ดีพอ
หนี้ในระบบ: ลักษณะและการใช้ประโยชน์
การกู้ยืมในระบบ เป็นเครื่องมือหลักสำหรับผู้ที่มีประวัติการเงินหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันเพียงพอ สินเชื่อหลักในระบบธนาคารอาจอยู่ในรูปของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเพื่อซื้อยานพาหนะ สินเชื่อเพื่อการศึกษา หรือสินเชื่ออเนกประสงค์ การคิดดอกเบี้ยส่วนใหญ่จะมีข้อกำหนดตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้ผู้กู้มีความมั่นใจในความโปร่งใสของอัตราดอกเบี้ยและวิธีทวงถามหนี้
อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ขั้นตอนขอสินเชื่อในระบบจำเป็นต้องมีเอกสารแนบที่ครบถ้วน เช่น สลิปเงินเดือน หลักฐานการเสียภาษี หลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือสัญญาจ้างงานระยะยาว ทำให้ผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น เกษตรกรรายย่อย แรงงานอิสระ หรือผู้ค้าหาบเร่ แทบไม่มีโอกาสกู้เงินในระบบ
ธนาคารบางแห่งเริ่มมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อยที่ดอกเบี้ยต่ำลงและมีเงื่อนไขผ่อนปรน แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมอย่างแพร่หลาย ครัวเรือนหลายกลุ่มจึงถูกกีดกันออกจากตลาดเงินกู้ในระบบ อันนำไปสู่การพึ่งพาหนี้นอกระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
งานสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่ามีครัวเรือนส่วนหนึ่งที่มีหนี้สินในระบบหลักหลายรายการ เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และผ่อนบัตรเครดิต แต่เมื่อถึงจุดที่ไม่สามารถชำระได้ทันกำหนด ก็หันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบระยะสั้น โดยหวังว่าในอนาคตอันใกล้จะมีรายได้เพิ่มและโปะคืนได้ทันเวลา ซึ่งหากสถานการณ์เป็นตามคาดก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่ แต่หากเกิดรายได้ไม่เป็นไปตามแผน หนี้นอกระบบจะกลายเป็นดอกเบี้ยก้อนใหม่ที่สูงกว่าเดิม และส่งผลให้เกิดการกู้หมุนกู้ซ้ำไปได้ไม่รู้จบ
@79% เลือกจ่ายหนี้‘นอกระบบ’ก่อน เมื่อมีงบจำกัด
หนี้นอกระบบ: ลักษณะ แหล่งที่มา และเหตุจูงใจในการใช้
หนี้นอกระบบในประเทศไทยมีความหลากหลาย ไม่ใช่เพียงการกู้กับ ‘เจ้าหนี้ดอกเบี้ยโหด’ รายเดียว แต่กลับพบว่า มีทั้งการหยิบยืมในหมู่เครือญาติหรือเพื่อนสนิทโดยไม่มีดอกเบี้ย (แต่มีเงื่อนไขทางสังคมอื่นๆ) การกู้แบบใช้ตัวแทนซึ่งมีค่าหัวคิว มีการกู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ หรือแม้แต่การกู้ระยะสั้นเพื่อหมุนเงินในธุรกิจร้านค้า
การสัมภาษณ์กลุ่มลูกหนี้ค้น พบว่า มีสาเหตุหลักในการหันไปพึ่งหนี้นอกระบบหลายประการ เหตุผลหนึ่ง คือ ขาดคุณสมบัติตามเกณฑ์ธนาคาร เช่น ไม่มีสลิปเงินเดือนหรือรายได้ไม่สม่ำเสมอ บางคนอาจมีประวัติเครดิตบูโรที่ไม่ดี จึงต้องหันไปกู้แหล่งอื่น
อีกเหตุผลหนึ่ง คือ ความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องใช้เงินสดเดี๋ยวนั้น เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมบ้านหลังประสบภัย หรือค่าใช้จ่ายในครอบครัวที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า อีกทั้งหนี้นอกระบบบางรูปแบบมีความง่ายและรวดเร็ว ไม่มีการตรวจสอบประวัติยาวนาน เช่น การกู้ผ่านเพื่อนหรือญาติที่รู้จักกันมานาน จึงกลายเป็นทางออกที่ผู้กู้ยอมรับความเสี่ยงเพื่อประโยชน์ด้านเวลา
สิ่งที่น่าสนใจ คือ มีข้อมูลว่าเกือบร้อยละ 70 ของครัวเรือนที่กู้เงินนอกระบบใช้เงินในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือยานพาหนะที่อาจนำไปสู่รายได้กลับคืน ถึงแม้จะมีดอกเบี้ยสูง แต่พวกเขายอมจ่ายเพื่อความรวดเร็วและไม่ต้องการหลักประกันรูปธรรม เช่น โฉนดที่ดิน หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ธนาคารเรียกร้อง

พฤติกรรมการชำระหนี้ : ลำดับความสำคัญและเหตุผลเชิงพฤติกรรม
หนึ่งในประเด็นโดดเด่นของงานวิจัย คือ การค้นพบว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่ (ประมาณ 79%) ยอมจ่ายหนี้นอกระบบก่อน เมื่อมีงบประมาณจำกัด และต้องเลือกระหว่างชำระหนี้ธนาคารหรือหนี้นอกระบบให้ตรงกำหนด
เหตุผลสำคัญที่เกิดขึ้นจากการสัมภาษณ์เชิงลึก คือ ความกังวลด้าน ‘เครือข่ายความสัมพันธ์’ กับเจ้าหนี้นอกระบบ ซึ่งอาจเป็นเพื่อน ญาติ หรือคนในชุมชน นอกจากนั้น ยังกลัวจะเสียโอกาสกู้ใหม่ในอนาคตหากยังต้องเจอกับเหตุฉุกเฉิน ตรงกันข้าม หากลูกหนี้ล่าช้ากับธนาคารหรือสถาบันการเงินในระบบ ยังมีโอกาสเจรจาขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือคาดหวังว่าจะมีนโยบายช่วยเหลือจากภาครัฐ
นอกจากนี้ บางคนเห็นว่าความเสี่ยงทางกฎหมายจากการผิดนัดชำระหนี้กับธนาคารเป็นเรื่องระยะยาว และมีขั้นตอนดำเนินคดีที่ใช้เวลา ต่างจากหนี้นอกระบบที่อาจเกิดการทวงหนี้รุนแรง หรือการกระทบถึงชื่อเสียงในชุมชนได้อย่างรวดเร็ว
ผลพฤติกรรมเช่นนี้ สร้างความท้าทายให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินทางการ เพราะอาจส่งผลให้เกิดหนี้เสีย (NPL) ได้ง่ายขึ้น หากลูกหนี้ค้างชาระติดต่อกันหลายงวด ในแง่ของระบบข้อมูลเครดิตบูโร เรามักไม่สามารถเห็น ‘หนี้นอกระบบ’ ที่ลูกหนี้มีอยู่เบื้องหลัง ทำให้สถาบันการเงินประเมินความเสี่ยงลูกหนี้ได้ยาก เมื่อเพิ่มพฤติกรรมที่ลูกหนี้ยอมจ่ายหนี้นอกระบบก่อน เพื่อรักษาความสัมพันธ์เข้ามา จึงเกิดเป็นช่องว่างของข้อมูลซึ่งผู้ปล่อยกู้ในระบบประเมินได้ยาก

@พบใช้บัตรเครดิต‘กดเงินสด’มาปล่อยกู้ กินกำไร‘ส่วนต่าง’
การเชื่อมโยงระหว่างหนี้นอกระบบกับเศรษฐกิจนอกระบบ
เศรษฐกิจนอกระบบ (informal economy) ในประเทศไทยมีขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคเดียวกัน แรงงานอิสระ พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด แรงงานเกษตรกรรายย่อย และผู้ให้บริการต่างๆ ที่ไม่เข้าสู่ระบบประกันสังคม หรือระบบภาษี
มักถูกมองว่าเป็น ‘คนนอกระบบ’ ที่เข้าถึงบริการทางการเงินอย่างเป็นทางการได้ยากหรือแทบไม่ได้เลย คนกลุ่มนี้ จึงพึ่งพาหนี้นอกระบบเป็นหลัก เพราะไม่ต้องใช้เอกสารเพื่อพิสูจน์รายได้หรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน
จากการเก็บข้อมูลของโครงการนี้ พบว่ากลุ่มผู้ประกอบการในเศรษฐกิจนอกระบบเป็นสัดส่วนใหญ่ของผู้ที่มีหนี้นอกระบบ และบางครั้งแม้จะเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ แต่ก็ยังใช้หนี้นอกระบบเป็นเงินเสริมเพื่อเร่งหมุนเวียนธุรกิจ
คนในระบบนอกระบบบางรายเอง ก็สลับบทบาทเป็นทั้งผู้ยืมและผู้ปล่อยกู้อยู่พร้อมกัน เช่น ใช้บัตรเครดิตมากดเงินสด แล้วปล่อยให้เพื่อนหรือคนในชุมชนกู้อีกต่อหนึ่งในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า เพื่อทำกำไรจากส่วนต่าง โดยการดำเนินการทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงทางสังคมมากกว่าข้อตกลงทางกฎหมาย
ทัศนคติและพฤติกรรมของเจ้าหนี้นอกระบบ
การศึกษามักให้ความสนใจกับมุมมองลูกหนี้ แต่การสัมภาษณ์เชิงลึกยังเผยให้เห็นมุมมองของผู้ให้กู้นอกระบบที่มีหลายระดับ บางคนเป็นเจ้าหนี้รายเล็กในชุมชนที่เริ่มต้นจากการปล่อยกู้ให้คนใกล้ชิดด้วยอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 3–5 ต่อเดือน และเน้นความยืดหยุ่นตามความสัมพันธ์ทางสังคม บางคนเป็นตัวแทน (agent) ของแหล่งทุนใหญ่ที่กำหนดดอกเบี้ยสูงกว่า 20% ต่อเดือน และใช้วิธีทวงหนี้ที่เข้มงวดถึงขั้นผิดกฎหมาย
แนวทางการประเมินลูกหนี้ของเจ้าหนี้นอกระบบมักพึ่งพา ‘ข้อมูลไม่เป็นทางการ’ ได้แก่ ความไว้เนื้อเชื่อใจ หรือการสังเกตพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน สัมพันธภาพภายในชุมชน แม้ไม่มีเอกสารอย่างเครดิตบูโร แต่กลไกเชิงสังคมนี้ก็ทำให้เจ้าหนี้มองว่า ความเสี่ยงต่ำกว่าการปล่อยกู้ให้คนแปลกหน้า โอกาสได้รับเงินคืนสูงกว่า และพวกเขาจึงกล้าตั้งดอกเบี้ยสูงเพื่อชดเชยกรณีเกิดหนี้สูญ
@ปล่อยกู้ดบ.20% ต่อเดือน-หักเงินต้น‘ล่วงหน้า’จ่ายดอกรายวัน
ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก : มุมมองลูกหนี้และเจ้าหนี้
จากการสัมภาษณ์เชิงลึกในเขตกรุงเทพมหานครและภูมิภาคอื่นๆ ที่คัดเลือกตามความหลากหลายของอาชีพและรายได้ พบว่าลูกหนี้นอกระบบจำนวนมากเข้ามาสู่สถานะนี้ เพราะต้องการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าบ้าน หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉินทางการศึกษา
บางคนเป็นคนขับรถรับจ้างหรือพ่อค้าแม่ค้าในตลาดที่ไม่มีรายได้คงที่ บ้างอาจกู้ยืมพร้อมกันหลายที่เพื่อหมุนเวียนเงิน ส่วนเจ้าหนี้บางรายเป็นคนที่มีอาชีพหลัก เช่น ข้าราชการ ครู หรือบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีความสัมพันธ์กว้างขวางในชุมชน จึงใช้เครือข่ายเหล่านั้นสร้างระบบปล่อยกู้ขนาดเล็กจนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ส่วนหนึ่ง มีมุมมองคล้ายกันว่า การกู้ยืมนอกระบบไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องร้ายเสมอไป เนื่องจากยังมีรูปแบบที่ช่วยเหลือกันในกรณีที่ไม่สามารถเข้าถึงธนาคาร และบางกรณีเป็นการยืมแบบไม่คิดดอกเบี้ยจริงๆ ทว่าในกรณีที่เป็นการปล่อยกู้ในเชิงธุรกิจ ใช้อัตราดอกเบี้ยสูง การผิดนัดหรือ “เบี้ยวหนี้” จะนำไปสู่การทวงถามที่ค่อนข้างรุนแรงซึ่งส่งผลเสียทั้งต่อสภาพจิตใจและความมั่นคงในชีวิตของผู้กู้
สำหรับเจ้าหนี้ที่อยู่ในระบบตัวแทน (agent) ซึ่งรับเงินทุนจากนายทุนต้นทางมาปล่อยต่อ พบว่า มีความเข้มงวดมากกว่าในแง่การติดตามและการทาสัญญา เพราะต้องแบกรับความเสี่ยงหากลูกหนี้ที่ตนรับผิดชอบจ่ายไม่ไหว ในบางพื้นที่ปรากฏการปล่อยกู้ดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อเดือน โดยหักเงินต้นล่วงหน้าตั้งแต่วันแรก หรือมีเงื่อนไขให้ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยทุกวันจนกว่าจะแข็งแรงพอไปขอปิดหนี้ในก้อนเดียว ทำให้ยอดหนี้จริงยิ่งสูงขึ้นโดยที่ลูกหนี้ไม่ตระหนัก

การแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบต่อหนี้นอกระบบ
ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา กลุ่มผู้มีรายได้น้อย แรงงานอิสระ พ่อค้าแม่ค้าตลาดนัด หรือผู้ประกอบการรายเล็กที่ถูกจำกัดการเคลื่อนที่และขาดรายได้ไปช่วงหนึ่ง ต่างประสบภาวะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง หลายคนไม่สามารถขอสินเชื่อธนาคารได้ด้วยข้อจำกัดเรื่องหลักฐานรายได้หรือไม่ผ่านเงื่อนไขประเมินความเสี่ยงของธนาคาร
Economic Intelligence Center (EIC) และรายงานของ Today Bizview (2566) ได้ชี้ให้เห็นว่า สัญญาณการเติบโตของหนี้นอกระบบรุนแรงขึ้นอย่างชัดเจน หลังสถานการณ์โรคระบาด ประกอบกับมาตรการ ‘พักหนี้’ หรือ ‘ลดดอกเบี้ย’ ของธนาคารในระบบยังไม่ทั่วถึงหรือไม่เร็วพอ จึงทำให้ผู้คนที่ต้องใช้เงินหมุนเวียนระยะสั้น หันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบอย่างกว้างขวาง
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในบางส่วน ไม่ได้หมายความว่า หนี้นอกระบบจะลดลงทันที เนื่องจากผู้กู้มักค้างชำระดอกเบี้ยที่สะสมมา และจำเป็นต้องกู้เพิ่มเพื่อจ่ายภาระหนี้ครั้งก่อน หากไม่มีมาตรการใดๆ เข้าแทรกแซง ลูกหนี้อาจตกอยู่ในวงจรหนี้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด หรือถูกบังคับให้เปลี่ยนมุมมองเป็น ‘ผู้ปล่อยกู้’ ในอนาคตหากมีโอกาส ได้เงินมาก้อนหนึ่งแล้วอยากนามาเก็งกาไรต่อผ่านการปล่อยกู้ระยะสั้น เป็นต้น
@ห่วง‘หนี้นอกระบบ’โตเกินควบคุม อาจเกิดวิกฤตเป็นลูกโซ่
ภาพรวมของปรากฏการณ์หนี้นอกระบบ
จากข้อมูลทั้งหมด การวิจัยได้มองเห็นภาพรวมของการอธิบายปรากฏการณ์หนี้นอกระบบในประเทศไทยอีกในบางประเด็น ได้แก่
ประเด็นแรก คือ นิยามของหนี้นอกระบบที่หลากหลาย มีส่วนอย่างยิ่งต่อความแตกต่างของตัวเลขและมูลค่าหนี้ที่แต่ละหน่วยงานรายงาน
สำนักงานสถิติแห่งชาติมักให้น้ำหนักกับ ‘หนี้ผิดกฎหมาย’ ที่เก็บดอกเบี้ยสูงเกินกำหนด ต่างจากงานวิจัยนี้ที่นิยาม ‘ทุกกรณีที่ไม่ผ่านสัญญาทางการ’ เป็นหนี้นอกระบบ จึงพบจำนวนครัวเรือนที่มีหนี้และมูลค่าหนี้สูงกว่าตัวเลขทางการอย่างมาก
ประเด็นต่อมา คือ ครัวเรือนส่วนหนึ่งสามารถเป็นทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ในเวลาเดียวกัน แสดงถึงความทับซ้อนของบทบาทในชุมชนและสังคม ผู้ที่ยืมเงินจากธนาคารด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำแล้ว อาจใช้ช่องทางส่วนตัวปล่อยกู้นอกระบบต่อด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเพื่อกินส่วนต่าง การผสานบทบาทนี้ ก่อให้เกิดความเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกว้างขวางในชุมชน เมื่อมีรายหนึ่งผิดนัดชำระก็อาจส่งผลต่อผู้อื่นในลักษณะลูกโซ่
อีกประเด็นที่สำคัญ คือ การที่หนี้นอกระบบเป็นทั้งแหล่งเงินกู้หลักและแหล่งเงินกู้รอง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงธนาคารได้เป็นปกติ หนี้นอกระบบยิ่งเป็นช่องทางหลัก แต่สำหรับคนที่กู้ในระบบอยู่แล้ว ก็ยังต้องใช้หนี้นอกระบบเป็นตัวช่วยฉุกเฉิน เมื่อสภาพคล่องสะดุด ความสัมพันธ์ทางสังคมกลายเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ผู้กู้หลายคนเลือกชำระหนี้นอกระบบก่อน เพื่อรักษาช่องทางการกู้ยืมไว้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ช่องว่างการเข้าถึงสินเชื่อในระบบยังคงเป็นปัญหาใหญ่ แรงงานอิสระและผู้ประกอบการนอกระบบจำนวนมากแทบไม่สามารถยื่นกู้ธนาคารได้เลย เนื่องจากขาดเอกสารรับรองรายได้หรือไม่มีหลักทรัพย์ค้าประกัน
บางรายแม้จะมีรายได้แต่ไม่ได้อยู่ในระบบทะเบียนภาษี ทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ความน่าเชื่อถือได้ ขณะที่ตลาดเงินกู้นอกระบบเติบโตผ่านตัวแทนและแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งกำหนดดอกเบี้ยสูงและมีความเสี่ยงในการละเมิดความเป็นส่วนตัว

งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า นอกจากจะมีมิติทางโครงสร้างเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ การก่อตัวของหนี้นอกระบบยังผูกพันลึกซึ้งกับพฤติกรรมเชิงสังคมและวัฒนธรรม อันได้แก่การรักษาหน้าหรือความสัมพันธ์ในชุมชน ความรู้ทางการเงินที่จำกัด และความหวังว่าระบบสินเชื่อในระบบจะยืดหยุ่นให้ได้มากกว่าเมื่อเทียบกับเจ้าหนี้นอกระบบที่เรียกร้องการทวงหนี้รุนแรง
จึงมิใช่เรื่องน่าแปลกใจที่งานวิจัยหลายชิ้นเสนอว่า การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบจำเป็นต้องคำนึงถึงมิติความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญ
สถานการณ์ในเชิงโครงสร้างและแนวโน้มในอนาคต
การขยายตัวของเศรษฐกิจนอกระบบ สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่แม้จะมีการเติบโตในภาคบริการและอุตสาหกรรม แต่ก็มีแรงงานจานวนมากที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมหรือขาดความต่อเนื่องในการทางาน ทำให้รายได้ผันผวน
เมื่อเกิดเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างภาวะชะลอตัวหรือวิกฤตโรคระบาด ผู้คนเหล่านี้จะประสบความยากลำบากยิ่งขึ้น และไม่มีหลักประกันทางสังคมเพียงพอ ในเมื่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบยังติดข้อจากัด หนี้นอกระบบจึงกลายเป็นกลไกเสริมที่เกิดขึ้นทดแทน
หลายฝ่ายกังวลว่า หากหนี้นอกระบบขยายตัวเกินจุดที่ควบคุมได้ อาจก่อให้เกิดวิกฤตเป็นลูกโซ่ในระดับชุมชนหรือระดับประเทศ หากผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้และดอกเบี้ยสะสมได้ วิกฤตดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นในทันที แต่จะแผ่กระจายผ่านความขัดแย้งทางสังคมหรือการคุกคามนอกกฎหมายที่นำไปสู่ปัญหาอาชญากรรม ทั้งยังอาจกระทบต่อกำลังซื้อในระยะยาวของครัวเรือนจำนวนมากภายในอนาคตอันใกล้
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่มักใช้รูปแบบงานไม่ประจำ (gig economy) การกู้ยืมนอกระบบมีแนวโน้มจะยังคงเป็นตัวเลือกที่คนจำนวนหนึ่งพึ่งพา เนื่องจากการกู้ในระบบส่วนใหญ่ยังเน้นการตรวจสอบเอกสารอย่างเป็นทางการ หากสถาบันการเงินในระบบไม่ปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับกลุ่มแรงงานไร้หลักฐานหรือผู้ที่มีวัฏจักรรายได้ผันผวน หนี้นอกระบบก็ยิ่งมีพื้นที่เติบโต
@สร้างความร่วมมือเจ้าหนี้‘ในระบบ-นอกระบบ’-ปล่อยกู้ 2 ชั้น
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ได้นำเสนอจำนวน 4 ข้อต่อไปนี้ เป็นข้อเสนอเบื้องต้นที่ร่างจากข้อมูลเชิงลึกในรายงานที่ได้ทาการศึกษา โดยยังไม่ได้มีการศึกษาผลได้ ผลเสีย และความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากการออกแบบหรือนาไปใช้ของแต่ละมาตรการอย่างละเอียด จึงอาจต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในภายหลัง
อย่างไรก็ดี ในการนำเสนอมาตรการเหล่านี้ คณะผู้วิจัยได้ให้เหตุผล ที่มา ผลที่คาดว่าจะได้รับ และตัวอย่างมาตรการเอาไว้แล้วในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ มาตรการทั้งหมดที่นำเสนอมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้หนี้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบ แต่ยังคงประโยชน์ที่ผสมผสานกันของทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ และน่าจะเป็นมาตรการที่ธนาคารพาณิชย์สามารถทาได้จริงภายใต้เงื่อนไขที่ภาครัฐอาจต้องให้การสนับสนุนเพิ่มเติม ดังนี้
1.สร้างความร่วมมือระหว่างเจ้าหนี้ในระบบและนอกระบบ (Formal-Informal Lenders Partnership)
เหตุผล เจ้าหนี้ในระบบ ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินของรัฐ มักมีต้นทุนการเงินต่ำและสามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี แต่อาจขาดข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกหนี้รายย่อยที่ไม่มีเอกสารรายได้ชัดเจน ในขณะที่เจ้าหนี้นอกระบบซึ่งมีความรู้เชิง ‘ภาคสนาม’ สามารถเข้าถึงและติดตามลูกหนี้รายย่อยได้ง่ายกว่า แต่ต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนเงินสูงและความเสี่ยงผิดกฎหมาย
หากนำทั้งสองฝ่ายมาทำงานร่วมกันภายใต้โครงสร้างที่เหมาะสม เช่น ‘ระบบส่งต่อลูกหนี้’ หรือ ‘สินเชื่อสองชั้น (Two-tier Lending)’ จะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลลูกหนี้ ลดดอกเบี้ย และทำให้เจ้าหนี้นอกระบบสามารถเข้าสู่ระบบได้ในอนาคต
ผลที่คาดว่าจะได้รับ เมื่อลูกหนี้ที่มีความเปราะบาง แต่ไม่มีหลักฐานทางการเงินชัดเจนได้รับการ ‘ค้ำประกันข้อมูล’ จากเจ้าหนี้นอกระบบ พวกเขาก็จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้นและได้รับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมขึ้น
ในทางกลับกัน เจ้าหนี้นอกระบบจะลดภาระด้านต้นทุนเงินทุน และอาจได้รับค่าตอบแทนหรือค่าธรรมเนียมในการส่งต่อลูกหนี้ให้ธนาคาร ขณะเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์จะได้ฐานข้อมูลคุณภาพจากเจ้าหนี้นอกระบบ ทำให้ความเสี่ยงในการเป็นหนี้เสียลดลงในระยะยาวด้วย
แนวทางดำเนินมาตรการ
สร้าง ‘Formal-Informal Credit Linkage’
ภาครัฐอาจส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ร่วมมือกับเครือข่ายเจ้าหนี้นอกระบบในชุมชน เพื่อจัดทำ ‘เครดิตสกอร์’ เบื้องต้น โดยอ้างอิงพฤติกรรมการชำระหนี้ที่เจ้าหนี้นอกระบบมีอยู่ จากนั้นธนาคารจึงประเมินความเสี่ยงขั้นที่ 2 และอนุมัติวงเงินสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง โดยมีเจ้าหนี้นอกระบบเป็นผู้รับรอง หรือตกลงแบ่งสัดส่วนผลกำไรในรูปแบบค่าธรรมเนียม
ระบบสินเชื่อสองชั้น (Two-tier Lending)
ระบบสินเชื่อสองชั้น (Two-tier Lending) แบ่งเป็นชั้นที่ 1 ซึ่งให้เจ้าหนี้นอกระบบปล่อยกู้ระยะสั้น วงเงินไม่สูง และอัตราดอกเบี้ยไม่เกินที่กฎหมายกาหนด หากลูกหนี้มีประวัติผ่อนชำระดี จึงส่งต่อลูกหนี้เข้าสู่ชั้นที่ 2 เพื่อกู้ในวงเงินที่สูงกว่าและดอกเบี้ยถูกกว่า ผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงินภาครัฐ อีกทั้งอาจจัดตั้ง ‘กองทุนค้ำประกัน’ เพื่อช่วยรองรับความเสี่ยงส่วนหนึ่งและดึงดูดให้สถาบันการเงินในระบบเข้าร่วม
@สร้าง‘แพลตฟอร์มกลาง’เชื่อมข้อมูล‘ผู้กู้’-มีระบบติดตามใช้เงินกู้
2.พัฒนาและปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเก็บข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการปล่อยสินเชื่อรายย่อย
เหตุผล การปล่อยสินเชื่อรายย่อย (Micro Lending) มักขาดข้อมูลทางการเงินอย่างเป็นทางการ (Formal Data) เช่น ประวัติเดินบัญชีธนาคารหรือหลักฐานรายได้ที่ตรวจสอบได้ ในขณะที่ลูกหนี้รายย่อยมักมีข้อมูล ‘ไม่เป็นทางการ’ (Informal Data) เช่น ประวัติการซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันมือถือ ประวัติการจ่ายค่าสาธารณูปโภค หรือยอดขายออนไลน์ ซึ่งสะท้อนศักยภาพทางการเงินของผู้กู้ได้ดี แต่ยังไม่ได้นำมาใช้งานอย่างเป็นระบบ
การประยุกต์เทคโนโลยี Big Data, AI/ML (Artificial Intelligence / Machine Learning) และ e-KYC (Electronic Know Your Customer) จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดโอกาสให้ประชาชนรายย่อยที่ไม่มีเอกสารทางการเงินเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น
ผลที่คาดว่าจะได้รับ การประเมินความเสี่ยงจากข้อมูลที่ครบถ้วนและมีความหลากหลายจะส่งเสริมให้ธนาคารหรือผู้ให้กู้ในระบบสามารถเห็น ‘ตัวตนทางการเงิน’ ของผู้กู้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลให้ลูกหนี้ที่เคยพึ่งพาหนี้นอกระบบสามารถแสดงศักยภาพและได้รับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม
อีกทั้งการใช้เทคโนโลยียังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน และทำให้กระบวนการอนุมัติสินเชื่อมีความรวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการติดตามสถานะการใช้เงินกู้และสนับสนุนกระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้ได้อย่างทันท่วงที
แนวทางดำเนินมาตรการ
สร้างแพลตฟอร์มกลาง (Credit Data Sharing Platform)
ภาครัฐหรือหน่วยงานกำกับ (เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกระทรวงการคลัง) อาจสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการใช้จ่ายค่าสาธารณูปโภค ข้อมูลโทรศัพท์มือถือ หรือธุรกรรมดิจิทัล เพื่อนำมาสร้าง ‘เครดิตสกอร์ทางเลือก’ (Alternative Credit Scoring) โดยต้องมีกฎหมายและมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างรัดกุม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความปลอดภัยของข้อมูล
สนับสนุนโครงการ e-KYC และ Digital ID
การเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน e-KYC, Digital ID และ Biometric จะช่วยลดอุปสรรคในการยืนยันตัวตนและตรวจสอบประวัติผู้กู้ พร้อมกันนี้ ควรส่งเสริมให้ผู้ให้บริการด้านดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือผู้ให้บริการโทรคมนาคม แบ่งปันข้อมูลผู้ใช้งานอย่างถูกกฎหมาย เพื่อสร้างโปรไฟล์ทางการเงิน (Financial Profile) ที่น่าเชื่อถือ
ส่งเสริมการเก็บข้อมูลในระดับชุมชน (Community-Based Data Collection)
ในพื้นที่หรือชุมชนที่ขาดโครงสร้างอินเทอร์เน็ตหรือเทคโนโลยีขั้นสูง ควรพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลแบบง่าย (เช่น Mobile App หรือ Web-based Form) ให้กลุ่มออมทรัพย์หรือสหกรณ์ใช้บันทึกประวัติการฝาก-ถอน และการกู้-คืน จากนั้นนาข้อมูลนี้เชื่อมต่อกับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่สนใจปล่อยสินเชื่อรายย่อย
ใช้เทคโนโลยีติดตามการใช้เงินกู้
การพัฒนาแอปพลิเคชันติดตามการเบิกใช้เงินกู้ให้ผู้กู้บันทึกรายรับ-รายจ่าย และแชร์ข้อมูลต่อเจ้าหนี้ (ภายใต้ข้อตกลงที่ชัดเจน) จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเห็นสถานะทางการเงินได้อย่างโปร่งใส และหากลูกหนี้มีแนวโน้มจะผิดนัดชาระ ก็สามารถแจ้งเตือน “ศูนย์กลางไกล่เกลี่ยหนี้” เพื่อหาแนวทางแก้ไขได้ทันการณ์
@เสนอจัดตั้ง‘เครือข่ายไกล่เกลี่ยหนี้’ระดับชุมชน
3.สนับสนุนการจัดตั้ง “ศูนย์กลางไกล่เกลี่ยหนี้และให้คำปรึกษา” ระดับชุมชน
เหตุผล การกู้ยืมนอกระบบมักเกิดขึ้นเนื่องจากประชาชนมีความจำเป็นเร่งด่วนและไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อผู้กู้ไม่มีความรู้ด้านกฎหมายหรือการเงินเพียงพอ
กระบวนการทวงหนี้ จึงอาจพัฒนาไปสู่การข่มขู่ คุกคาม หรือการฟ้องร้องทางคดีได้ง่าย ขณะเดียวกัน หากมีหน่วยงานที่เป็นกลางทำหน้าที่ช่วยไกล่เกลี่ย จะช่วยลดความตึงเครียดในการเจรจาหนี้ระหว่างเจ้าหนี้นอกระบบและลูกหนี้ ทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกปลอดภัยและมีหลักประกันในกระบวนการที่เป็นธรรม
ผลที่คาดว่าจะได้รับ การจัดตั้งศูนย์กลางไกล่เกลี่ยหนี้จะช่วยลดปัญหาความรุนแรงที่อาจเกิดจากการทวงหนี้นอกระบบ อีกทั้งยังลดภาระค่าใช้จ่ายทางคดีที่ไม่จำเป็น ลูกหนี้ที่มีข้อจากัดทางการเงินสามารถใช้ช่องทางนี้เจรจาขอลดอัตราดอกเบี้ยหรือขยายเวลาผ่อนชำระได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมั่นในระบบการคุ้มครองสิทธิ และลดอคติที่ประชาชนมักมีต่อสถาบันการเงินในระบบ นอกจากนี้ ภาครัฐ รวมถึงสถาบันการเงินอาจเข้าถึงข้อมูลบางส่วนของศูนย์กลางไกล่เกลี่ยหนี้และให้คำปรึกษา เพื่อให้สามารถออกแบบการให้สินเชื่อรายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
แนวทางดาเนินมาตรการ
จัดตั้งเครือข่ายไกล่เกลี่ยหนี้ระดับชุมชน
ภาครัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจจัดตั้ง ‘คณะกรรมการไกล่เกลี่ยหนี้’ โดยมีตัวแทนจากภาคชุมชน องค์กรการเงินท้องถิ่น และภาคประชาสังคม เพื่อทาหน้าที่ให้คำปรึกษา รับเรื่องร้องทุกข์ และไกล่เกลี่ยประนีประนอมระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้นอกระบบ
ฝึกอบรมและพัฒนาองค์ความรู้ผู้ให้คำปรึกษา
ควรมีหลักสูตรอบรมบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์กลางไกล่เกลี่ยหนี้ ครอบคลุมด้านกฎหมาย พฤติกรรมผู้บริโภค และทักษะการเจรจาต่อรอง เพื่อให้ที่ปรึกษาสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม บูรณาการความร่วมมือกับสถาบันการเงินในระบบ
จัดทำกลไกให้ธนาคารหรือผู้ให้กู้ในระบบร่วมติดตามสถานะหนี้ของลูกหนี้ที่เข้ากระบวนการไกล่เกลี่ย หากลูกหนี้มีประวัติชาระดีหรือสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้สาเร็จ ก็อาจพิจารณาเปิดช่องทางให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบในอนาคต
พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อการไกล่เกลี่ยหนี้
ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพัฒนาระบบ IT กลาง เพื่อให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อตกลง ประวัติการชาระ และสถานะการเจรจาหนี้อย่างโปร่งใสและเป็นมาตรฐาน พร้อมทั้งมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด
@ชูพัฒนา‘สินเชื่อรายย่อยฉุกเฉิน’ภายใต้ร่วมมือ 3 ฝ่าย
4.พัฒนาสินเชื่อรายย่อยฉุกเฉิน (Micro Emergency Loan) ภายใต้ความร่วมมือรัฐ-ธนาคาร-ชุมชน
เหตุผล ประชาชนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างเฉียบพลัน และจำเป็นต้องใช้เงินในจำนวนไม่สูงมาก (เช่น 5,000–30,000 บาท) ทว่ามักประสบอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อธนาคาร เนื่องจากไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือมีรายได้ไม่แน่นอน
การจัดทำสินเชื่อฉุกเฉินแบบดอกเบี้ยต่ำจึงสามารถเป็น ‘กันชน’ ช่วยป้องกันไม่ให้คนกลุ่มนี้ต้องกู้ยืมนอกระบบและเสี่ยงต่อการโดนดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด
ผลที่คาดว่าจะได้รับ สินเชื่อฉุกเฉินในอัตราดอกเบี้ยต่ำจะช่วยให้ประชาชนที่ขาดเงินสำรองชั่วคราว ลดการพึ่งพาเจ้าหนี้นอกระบบ และหลีกเลี่ยงการถูกเอารัดเอาเปรียบ ขณะเดียวกัน ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการสามารถบริหารความเสี่ยงได้ด้วยแนวคิดค้ำประกันกลุ่ม (Group Lending) หรือรับความค้ำประกันบางส่วนจากภาครัฐ ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาหนี้เสียระยะยาวและส่งเสริมสุขภาวะทางการเงินที่ดีในระดับชุมชน
แนวทางดาเนินมาตรการ
ประสานความร่วมมือกับเครือข่ายชุมชน
ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สหกรณ์ออมทรัพย์ กลุ่มอาชีพ หรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในการประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ด้านการบริหารเงิน และติดตามสถานะของผู้กู้ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจกลไกสินเชื่อฉุกเฉินและเข้าถึงบริการได้อย่างต่อเนื่อง
ออกแบบวงเงินและอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม
กำหนดวงเงินสินเชื่อฉุกเฉินในระดับที่เพียงพอต่อความจำเป็นเร่งด่วน เช่น 5,000–30,000 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด เพื่อจูงใจให้ประชาชนเลือกใช้สินเชื่อในระบบแทนการกู้นอกระบบ
สนับสนุนแนวคิดค้ำประกันกลุ่ม (Group Lending)
ส่งเสริมให้ผู้กู้รวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อยในชุมชนเพื่อค้าประกันร่วมกัน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกัน และช่วยให้สถาบันการเงินลดความเสี่ยงในการปล่อยกู้
ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการเพื่อขยายองค์ความรู้การวิจัยในอนาคต
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐไทยและสมาคมธนาคารไทย คำถามวิจัยในอนาคตควรต่อยอดจากชุดข้อมูลและข้อค้นพบที่มีอยู่ โดยเน้นไปที่การออกแบบนโยบาย การปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยง การสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในแนวทางที่ยั่งยืน
ตัวอย่างคำถามวิจัยที่อาจเป็นฐานในการสนับสนุนต่อยอดงานวิจัยในอนาคตจากภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้
1.จะสร้างกระบวนการเชื่อมโยง “เงินกู้นอกระบบ” เข้าสู่การกากับและบริการของระบบธนาคารได้อย่างไร? (โมเดลการผนวกรวมอย่างค่อยเป็นค่อยไป)
2.กลยุทธ์ทางการตลาดและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารควรเป็นอย่างไร เพื่อลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย?
3.ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ส่งผลอย่างไรต่อการก่อตัวของเครือข่ายเงินกู้นอกระบบ และจะออกแบบ ‘เครือข่ายสินเชื่อชุมชนในระบบ’ (Community-Based Formal Microfinance) อย่างไรให้สอดคล้องกับพฤติกรรม และทุนทางสังคมของเครือข่าย?
4.บทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลและ FinTech ในการตรวจสอบ ติดตาม และสนับสนุนสินเชื่อรายย่อยอย่างโปร่งใสควรเป็นอย่างไร?
@ชี้‘หนี้นอกระบบ’สร้างความร่ำรวย-สะสมทุน‘นายทุนท้องถิ่น’
ด้าน รศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าคณะผู้วิจัยโครงการสำรวจและวิเคราะห์สถานการณ์หนี้นอกระบบไทย : การวิเคราะห์เชิงลึกทางพฤติกรรมและบริบททางเศรษฐกิจ กล่าวกับสำนักข่าวอิศรา ว่า งานวิจัยฯดังกล่าว โฟกัสไปที่เรื่องหนี้นอกระบบเป็นหลัก
โดยผลวิจัยฯพบว่า สาเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากเป็นหนี้นอกระบบนั้น มาจากการที่คนไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ จึงต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ ในขณะที่หนี้นอกระบบดังกล่าว ยังมีส่วนช่วยนายทุนท้องถิ่นในการสะสมทุน โดยนายทุนฯจะได้กำไรจากการปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้
“หนี้นอกระบบจะช่วยนายทุนท้องถิ่นในการสะสมทุน โดยได้กำไรจากดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด ทำให้เขารวยเร็วขึ้น ความเสี่ยงก็ต่ำ เมื่อนายทุนสะสมทุนด้วยด้วยกลไกแบบนี้ เงินที่เพิ่มขึ้นนี้ เขาสามารถนำไปใช้ในธุรกิจที่ถูกกฎหมายหรือไม่ถูกก็ได้
แต่จะไปในนามบุญคุณ และยังได้ความสัมพันธ์กับคนที่เขาช่วยเหลือด้วย ฉะนั้น เรื่องหนี้นอกระบบของไทย ซึ่งเกิดจากสาเหตุที่ว่าคนเข้าถึงหนี้ในระบบได้ไม่เต็มที่นัก ก็เลยเป็นโอกาสในการสร้างบุญคุณของนายทุนภายใต้ความช่วยเหลือในรูปของหนี้นอกระบบ” รศ.ดร.ธานี กล่าว
เมื่อถามว่า การที่ไทยมีหนี้นอกระบบมาก หากแก้ปัญหาไม่ได้ จะทำให้ตัวเศรษฐกิจบิดเบือนหรือไม่ รศ.ดร.ธานี ระบุว่า การที่มีหนี้นอกระบบมาก ย่อมจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง เนื่องจากหนี้นอกระบบจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูง เช่น หากมีการกู้ยืมด้วยต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงมาทำธุรกิจแล้ว โอกาสจะประสบความสำเร็จก็ยากขึ้น
“หนี้นอกระบบ มักจะอยู่กับคนตัวเล็กตัวน้อยที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อ เมื่อคนตัวเล็กตัวน้อย ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงเกินจริง การที่เขาจะโตจาก individual เป็น small ก็จะยาก หรือจะโตจาก small ไปเป็น medium ก็ยากเช่นกัน เพราะต้นทุนทางการเงิน ผลก็คือ นโยบาย SME ทั้งหลาย หรือการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กให้เติบโตของเรา ก็สำเร็จได้ยาก เพราะถูกตัดตอนไป
คนที่มีความสามารถและอยากหารายได้ แต่ว่าต้องมาเสียต้นทุนทางการเงินสูงมากๆตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้น ผลของมัน (หนี้นอกระบบ) จึงไม่ใช่แค่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง แต่ยังทำให้การเติบโตของธุรกิจขนาดเล็กและโอกาสของคนทั่วไปแทบจะหายไปเลย เพราะเข้าไม่ถึงการเงินในระบบ” รศ.ดร.ธานี กล่าว
รศ.ดร.ธานี ระบุด้วยว่า “หนี้นอกระบบ คือ ธุรกิจของคนมีเงิน โดยนำเงินไปให้คนตัวเล็กตัวน้อยเช่า แล้วเก็บค่าเช่าในรูปแบบดอกเบี้ย เป็นธุรกิจที่ผลตอบแทนดี และความเสี่ยงต่ำ ในยุคที่ไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอะไรดี เป็นรูปแบบธุรกิจให้เช่าเงินและเก็บรายได้ พอเป็นแบบนี้แล้ว ก็จะเกิดการสร้างสะสมทุนของนายทุนของเจ้าของเงิน โดยที่ไม่ต้องลงแรง ไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่เอาเงินของคนตัวเล็กตัวน้อยมาสะสม”
(รศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์)
@มอง‘เศรษฐกิจนอกระบบ’มีสัดส่วนสูง ส่อทำให้‘บิดเบือน’
รศ.ดร.ธานี กล่าวว่า ในประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจสูงกว่าประเทศไทยนั้น จะมีขนาดเศรษฐกิจนอกระบบและหนี้นอกระบบแตกต่างกับประเทศไทยมาก ขณะเดียวกัน การที่ประเทศไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่สูง และมีหนี้นอกระบบเป็นจำนวนมาก ยังทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาว เป็นปัญหาไปหมด
“เศรษฐกิจนอกระบบมีผลต่อการเติบโตพอสมควร เช่น ทำให้การให้เงินอุดหนุนของรัฐไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ได้ดูว่าใครต้องการอะไร แต่ในทางกลับกัน ภาษีของรัฐก็เก็บได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่งผลให้การทำนโยบายของรัฐ ทั้งนโยบายทางด้านภาษีและรายจ่าย มีประสิทธิภาพน้อยลงไปทั้งคู่ เมื่อรัฐจะสนับสนุนให้เกิดการเติบโต ก็ทำได้ยาก
รูปธรรมที่เห็นชัดๆ คือ สมมุติว่ารัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือคนจน แต่เมื่อคนจนอยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบแล้ว GDP ก็จะไม่เพิ่ม เพราะ GDP ไม่ได้วัดตรงเปะๆกับรายจ่ายรายได้ของคนจน เช่น ซื้อผัก ซื้อหมูในตลาดสด และบางทีก็ไม่ได้อยู่ใน GDP ทั้งหมดด้วยซ้ำ จึงทำให้ GDP ที่วัดได้ไม่เพิ่ม
ในทางกลับกัน ถ้ารัฐบาลเอาเงินตรงนี้ ไปอุดหนุนทุนขนาดใหญ่ GDP จะเพิ่มขึ้นเลย ฉะนั้น จึงมีแรงจูงใจที่ทำให้รัฐไปสนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่ที่เขามองเห็น และตั้งเป้าจริงได้ง่ายกว่า แม้ว่าการอุดหนุนรายได้ให้คนจน จะทำให้มีการใช้จ่ายและมีการหมุนเงิน เพียงแต่ว่าสิ่งนี้ไม่ถูกมองเห็นก็เท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดบิดเบือนทางเศรษฐกิจสูง” รศ.ดร.ธานีกล่าว


รศ.ดร.ธานี ยังกล่าวว่า ขณะนี้คณะผู้วิจัยฯ กำลังศึกษาเกี่ยวกับ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการศึกษาฯ เฟส 2 ต่อเนื่องมาจากศึกษาเรื่องหนี้นอกระบบฯ ทั้งนี้ การศึกษาเรื่องเศรษฐกิจนอกระบบนั้น จะโฟกัสไปยังเศรษฐกิจนอกระบบทุกอย่างตั้งแต่ เงินพนัน เงินวัด เงินหวย เงินยืมทั้งหลาย หาบเร่ และผงลอย เป็นต้น โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้
“เศรษฐกิจนอกระบบเรา มีมูลค่าเยอะอยู่แล้ว หรือคิดเป็น 30-40% ต่อจีดีพี และเมื่อ กรุงไทยฯ เขาจะทำเครื่องมือทางการเงินเพื่อแก้หนี้แล้ว จึงต้องเข้าใจเศรษฐกิจนอกระบบด้วย” รศ.ดร.ธานีกล่าวทิ้งท้าย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา