
“…แต่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ...” แสดงว่า การไม่ปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าว ต้องได้ความว่า มีเจตนาพิเศษ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด…"
.................................
จากกรณีที่ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท 644/2566 คดีหมายเลขแดงที่ 2229/2568 โดยศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษายกฟ้อง นายจงเจตน์ บุญเกิด อดีตประธานเจ้าหน้าที่การเงิน (CFO) ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) กับพวกรวม 4 ราย (จำเลยทั้ง 4)
ในคดีที่อัยการสูงสุด (โจทก์) ยื่นฟ้องนายจงเจตน์กับพวก ว่า กระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 กรณีร่วมกันกระทำความผิดต่อ ธพว. โดยการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ่าย ‘ดอกเบี้ย’ ในโครงการออกบัตรเงินฝากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (FRCD) และการนับจำนวนวันในการคิดดอกเบี้ย
เป็นเหตุให้ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) (SCBT) ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก ธพว. และต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ ธพว. ต้องชำระเงินให้ SCBT เป็นเงิน 5,470.05 ล้านบาท นั้น (อ่านประกอบ : ‘ศาลอุทธรณ์’ ยกฟ้อง‘อดีตCFO‘ธพว.’-พวก’ คดีปรับเงื่อนไข‘ดบ.’โครงการ FRCD ทำธนาคารเสียหาย)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอ ‘คำวินิจฉัย’ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ในคดีนี้ (คดีหมายเลขดำที่ อท 644/2566 คดีหมายเลขแดงที่ 2229/2568) มีรายละเอียด ดังนี้
@เปลี่ยนเงื่อนไขจ่าย‘ดบ.’จาก‘คงที่’เป็นแบบ‘ขั้นบันได
คดีหมายเลขดำที่ อท 644/2566 คดีหมายเลขแดงที่ 2229/2568 ลงวันที่ 6 ก.พ.2568 (ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ)
โจทก์
อัยการสูงสุด
จำเลย
นายจงเจตน์ บุญเกิด จำเลยที่ 1
นางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์ จำเลยที่ 2
นายอวิลาส ชุณหกสิการ จำเลยที่ 3
นายอาทิตย์ ดั่นธนสาร จำเลยที่ 4
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ว่า จำเลยทั้งสี่ กระทำผิดฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่
โจทก์ (อัยการสูงสุด) มีนายมนู เลียวไพโรจน์ นายยงยศ ปาละนิติเสนา นางสาวพรรนิภา โชยภัฏ นายพงษ์ศักดิ์ ชิวชรัตน์ มาไต่สวนได้ความว่า
ขณะเกิดเหตุ นายมนู ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการผู้เสียหาย (ธพว.) นายยงยศ กรรมการผู้เสียหาย ในการประชุมกรรมการของผู้เสียหาย (ธพว.) ครั้งที่ 7/2549 วันที่ 18 พ.ค.2549 จำเลยที่ 1 (นายจงเจตน์ บุญเกิด) รายงานผลการพิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่เสนอเงื่อนไขการออกบัตรเงินฝาก FRCDs ด้วยต้นทุนรวมต่ำสุด ว่า
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) (SCBT) ได้รับการคัดเลือก โดยระบุเงื่อนไขว่า ผู้เสียหาย (ธพว.) ต้องทำอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา CCS (Cross Currency Swap Transaction) ส่วนอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย IRS จะทำหรือไม่ก็ได้
ฝ่ายจัดการ เสนอแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยเป็นช่วงๆ แบบไม่ซับซ้อน มติที่ประชุมไม่ได้อนุมัติให้ฝ่ายจัดการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยแบบซับซ้อน และมีข้อสังเกตให้ฝ่ายจัดการ พิจารณาจัดทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย แล้วรายงานให้ที่ประชุมทราบครั้งต่อไป
ต่อมาวันที่ 18 ก.ค.2549 จำเลยที่ 2 (นางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์) เสนอเรื่องอนุมัติการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ต่อนางสาวพรรนิภา ซึ่งดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ ดูแลสำนักบริหารพอร์ตโฟลิโอ เกี่ยวกับงานพัฒนาระบบฐานข้อมูลสินเชื่อและฝ่ายบัญชีลูกหนี้ รักษาการตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ระหว่างวันที่ 17 ก.ค.2549 ถึงวันที่ 20 ก.ค.2549
โดยแจ้งว่า ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการของผู้เสียหาย (ธพว.) แล้ว และจำเลยที่ 1 (นายจงเจตน์ บุญเกิด) ทราบเรื่องดี นางสาวพรรนิภา โทรศัพท์สอบถามจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ต่างประเทศ จำเลยที่ 1 แจ้งว่า ทราบเรื่องแล้ว ให้นางสาวพรรนิภาลงชื่ออนุมัติ
นางสาวพรรนิภา ให้จำเลยที่ 2 เขียนเหตุผล และความจำเป็นในการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย แล้วนางสาวพรรนิภาลงชื่ออนุมัติ
ต่อมาวันที่ 8 ส.ค.2549 นายพงษ์ศักดิ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของผู้เสียหาย (ธพว.) ได้รับบันทึก เรื่องการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยของจำเลยที่ 4 (นายอาทิตย์ ดั่นธนสาร) เสนอผ่านจำเลยที่ 3 ที่ 2 และที่ 1 ตามลำดับชั้นการบังคับบับบัญชา
เนื่องจากการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยก่อนหน้า นายพงษ์ศักดิ์ ไม่ทราบรายละเอียด จึงเรียกจำเลยที่ 2 (นางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์) และที่ 3 (นายอวิลาส ชุณหกสิการ) เพื่อสอบถาม แต่นายพงษ์ศักดิ์ ไม่เข้าใจ
ต่อมาวันที่ 17 ส.ค.2549 มีการประชุมคณะกรรมการของผู้เสียหาย (ธพว.) ครั้งที่ 12/2549 จำเลยที่ 1 รายงานผลการออกบัตรเงินฝากว่า ได้ดำเนินการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย จำนวน 2 ครั้ง โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปี แบบขั้นบันได แต่ไม่รายงานว่า มีเงื่อนไขพิเศษ คือ มีเบี้ยปรับหากอัตราดอกเบี้ยหลุดออกนอกช่วง Range กำหนดสูงถึงอัตราร้อยละ 8.5
นายพงษ์ศักดิ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในปีที่ 4 และที่ 5 กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8.8 ต่อปี ทำให้ผู้เสียหายมีต้นทุนค่อนข้างสูง หากผู้เสียหาย (ธพว.) คืนเงินก่อนกำหนด จะมีอัตราเบี้ยปรับหรือไม่ อย่างไร จำเลยที่ 1 แจ้งว่า จะชี้แจงข้อมูลในการประชุมคณะกรรมการของผู้เสียหาย ครั้งต่อไป
และได้ความจากนายศุภกิจ แป้นเจริญ ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการอาวุโส ระดับ 11 ฝ่ายบริหารงานทั่วไปของผู้เสียหาย ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง การทำแผนป้องกันความเสียงด้านอัตราดอกเบี้ยสรุปได้ว่า
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2549 จำเลยที่ 4 (นายอาทิตย์ ดั่นธนสาร) ทำบันทึกผ่านจำเลยที่ 3 (นายอวิลาส ชุณหกสิการ) จำเลยที่ 2 (นางจิรพร สุเมธีประสิทธิ์) ถึงจำเลยที่ 1 (นายจงเจตน์ บุญเกิด) ขออนุมัติการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย
โดยจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคาร SCBT ในอัตราคงที่ร้อยละ 6.4 ต่อปี ในสกุลเงินบาท มีระยะเวลาคำนวณ 365 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.2549 ถึงวันที่ 7 ส.ค.2554
โดยในวันที่ขออนุมัติ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของสหรัฐอยู่ที่ร้อยละ 5 อัตรา 6 M Libor (LIBOR ย่อมาจาก London Interbank Offered Rate หมายถึง อัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมระหว่างธนาคารแบบไม่มีหลักประกันสำหรับระยะเวลาต่างๆ ณ ตลาดการเงินที่กรุงลอนดอน) อยู่ที่ร้อยละ 5.62625 คาดว่าวันที่ 29 มิ.ย.2549 จะประกาศอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสหรัฐขึ้นอีกร้อยละ 0.25 เป็น 5.25 และสิ้นปีอยู่ที่ร้อยละ 6 และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ต่อมาวันที่ 18 ก.ค.2549 ธนาคาร SCBT ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ถึงจำเลยที่ 2 แจ้งว่า ได้รับการยืนยันการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะขออนุมัติจากนางสาวพรรนิภา
และวันเดียวกันนั้น จำเลยที่ 4 ทำบันทึกขออนุมัติการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ผ่านจำเลยที่ 2 เสนอนางสาวพรรนิภา รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ขออนุมัติทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย 150 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจ่ายจากเดิมร้อยละ 6.4 เป็น ‘แบบขั้นบันได’ ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.2549 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับขึ้น แต่อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อของผู้เสียหาย (ธพว.) ยังไม่สามารถปรับให้สอดคล้องกับภาวะตลาดได้ เพราะเป็นสินเชื่อนโยบายที่ได้รับผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ
การทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ช่วยแก้ปัญหาภาระดอกเบี้ยที่จ่าย ด้วยกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได คือ เป็นอัตราต่ำช่วงปีแรกและปรับขึ้นในปีถัดไป ทั้งนี้ ช่วยให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้เสียหาย (ธพว.) ลดลงใน 3 ปีแรก เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 6.4
จำเลยที่ 2 มีความเห็นในหนังสือที่จำเลยที่ 4 ทำบันทึก ว่า ฝ่ายบริหารเงิน แบ่งการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 วงเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐ อิงกับ LIBOR ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่ 2 วงเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐ อิงกับ LIBOR เงินสกุลเยนญี่ปุ่น
ต่อมาวันที่ 4 ส.ค.2549 จำเลยที่ 4 จัดทำบันทึกการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 วงเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีเงื่อนไขเช่นเดียวกับครั้งแรก ที่เสนอนางสาวพรรนิภา ขอเพื่ออนุมัติ
จำเลยที่ 1 (นายจงเจตน์ บุญเกิด) เสนอนายพงษ์ศักดิ์ ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการผู้เสียหาย (ธพว.) โดยมีความเห็นว่า ได้ทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยวงเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐไปก่อนหน้าแล้ว ในครั้งนี้ ขอทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยวงเงินที่เหลือในเงื่อนไขเดิมทุกประการ
@เปลี่ยนเงื่อนไขคำนวณ‘ดอกเบี้ย’เป็น 360 วัน-กำหนด‘เบี้ยปรับ’
ต่อมาวันที่ 30 ส.ค.2550 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนางอินทิรา กิติพงศ์ไพโรจน์ ผู้ช่วย ผู้รับผิดชอบสายงานสนับสนุนองค์กร ขอความเห็นชอบการชำระคืนหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนด สำหรับ FRCD ต่อที่ประชุมคณะกรรมการของผู้เสียหาย (ธพว.) ในการประชุมครั้งที่ 11/2550 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบชำระหนี้คืนต่างประเทศก่อนกำหนด
ต่อมาวันที่ 21 ก.ย.2550 คณะกรรมการการเงินมีมติในการประชุมครั้งที่ 9/2550 เห็นชอบซื้อคืนบัตรเงินฝาก 20 ล้านเหรียญสหรัฐ จากธนาคาร SCBT จำเลยที่ 3 จัดทำบันทึกผ่านนางพัชราภรณ์ สุทธิโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้รับผิดชอบสายงานบริหารเงินถึงจำเลยที่ 1 เพื่อขออนุมัติซื้อคืนบัตรเงินฝาก จำเลยที่ 1 อนุมัติซื้อคืน
ต่อมาวันที่ 26 ก.ย.2550 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อคืนบัตรเงินฝาก 20 ล้านเหรียญสหรัฐ จากธนาคาร SCBT โดยเปลี่ยนเงื่อนไขในสัญญาเกี่ยวกับการคำนวณภาระดอกเบี้ยจ่าย จากฐานการคำนวณเดิมที่ 365 วัน เป็น 360 วัน และแก้ไขดอกเบี้ยจ่ายจากดอกเบี้ยคงที่บวก ด้วยเบี้ยปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยของสี่ธนาคารใหญ่บวกด้วยส่วนเพิ่มและบวกเบี้ยปรับ
ต่อมาวันที่ 10 ต.ค.2550 ‘คณะกรรมการการเงิน’ ประชุมมีมติในการประชุมครั้งที่ 10/2550 ให้ซื้อคืนบัตรเงินฝากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเพิ่มอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐ และปรับปรุงโครงสร้างวงเงินที่เหลืออีก 270 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามรายงานการประชุม
ต่อมาวันที่ 22 ม.ค.2551 ธนาคารกลางสหรัฐประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ทำให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าขอบเขตที่กำหนดตามที่ทำสัญญาไว้กับธนาคาร SCBT มีเบี้ยปรับเพิ่มอัตราร้อยละ 8.5
และได้ความจากนายพรชัย วิริยะธนะสกุล ดำรงตำแหน่งผู้ชำนาญการ ผู้ช่วยผู้รับผิดชอบงานสาขาของผู้เสียหาย (ธพว.) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการวินัย ว่า การทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย โดยกำหนด Range Accrual และเบี้ยปรับ
เป็นการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยและชับช้อน เป็นการเก็งกำไร ซึ่ง พ.ร.บ.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2545 มิได้กำหนดให้สามารถดำเนินการได้
ไม่ได้ขออนุมัติจากคณะกรรมการของผู้เสียหาย (ธพว.) ทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยกับธนาคาร SCBT โดยรู้ว่า หากทำไปจะทำให้ผู้เสียหาย (ธพว.) ได้รับความเสียหาย รีบร้อนทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ไม่ตรวจสอบความเสี่ยง และปกปิดข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญต่อคณะกรรมการของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งสี่ จึงมีความผิดวินัย ตามรายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการวินัย
@ต้องได้ความว่ามี‘เจตนาพิเศษ’ทำให้ธนาคารฯเสียหาย
เห็นว่า กรณีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยจากเดิมอัตราคงที่ เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได และมีเบี้ยปรับทั้งสองครั้งนั้น เมื่อคณะกรรมการของผู้เสียหาย (ธพว.) เห็นชอบในหลักการโครงการระดมเงินด้วยการออกบัตรเงินฝาก ภายในวงเงิน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน Government Bond Yield+100 bps
ให้คณะกรรมการการเงิน ที่ทำหน้าที่พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่เสนอเงื่อนไขการออกบัตรเงินฝาก ด้วยต้นทุนรวมต่ำที่สุด และมีความเหมาะสมในด้านกลุ่มนักลงทุนสถาบัน จำเลยทั้งสี่ ได้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการของผู้เสียหายเห็นชอบในหลักการ
เมื่อคัดเลือกธนาคารที่เสนอเงื่อนไขด้วยต้นทุนรวมต่ำสุดได้แล้ว คณะกรรมการของผู้เสียหาย (ธพว.) มีมติให้ดำเนินแผนการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย แต่มิได้ให้ฝ่ายจัดการดำเนินการแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยแบบซับช้อน
การที่จำเลยทั้งสี่ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยจากเดิมอัตราคงที่ร้อยละ 6.4 เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเป็นช่วงๆ โดยปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.75 ปีที่ 2 อัตราร้อยละ 4.25 ปีที่ 3 อัตราร้อยละ 4.50 ปีที่ 4 และปีที่ 5 อัตราร้อยละ 8.80
และกำหนดเบี้ยปรับ กรณีจำนวนวันที่ 6 M Libor ไม่อยู่ใน range ในอัตราร้อยละ 8.5 ในปีที่ 1 กรณีที่ 6 M Libor range อยู่ระหว่างอัตราร้อยละ 3.50-6.50 ปีที่ 2 กรณีที่ 6 M Libor range อยู่ระหว่างอัตราร้อยละ 3.50-7.25 ปีที่ 3 กรณีที่ 6 M Libor range อยู่ระหวางอัตราร้อยละ 3.50-7.50 ปีที่ 4 กรณีที่ 6 M Libor range อยู่ระหว่างอัตราร้อยละ 3.50-8.50 และปีที่ 5 กรณีที่ 6 M Libor range อยู่ระหว่างอัตราร้อยละ 3.50-7.25
ทั้งสองครั้ง เป็นการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยแบบซับซ้อน โดยไม่ขอมติคณะกรรมการของผู้เสียหาย (ธพว.) เป็นการเก็งกำไร ไม่อยู่ในวัตถุประสงค์ของผู้เสียหาย ตามที่ได้ความ อันถือได้ว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่อันอยู่ในความรับผิดชอบของตน
แต่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ...”
แสดงว่า การไม่ปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าว ต้องได้ความว่า มีเจตนาพิเศษ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
เมื่อพิจารณาเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวแล้ว พบว่า เดิมผู้เสียหายต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอด 5 ปี อัตราร้อยละ 6.4 ทุกปี เมื่อเปลี่ยนเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ผู้เสียหายต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอด 5 ปี โดยเฉลี่ยแล้วในอัตราร้อยละ 6.02 ทุกปี ซึ่งน้อยกว่าอัตราเดิม
ทั้งในการประชุมคณะกรรมการของผู้เสียหาย (ธพว.) ครั้งที่ 12/2549 เมื่อจำเลยที่ 1 (นายจงเจตน์ บุญเกิด) รายงานผลการออกบัตรเงินฝากว่า ได้ดำเนินการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย จำนวน 2 ครั้ง โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปี แบบขั้นบันได โดยไม่รายงานว่า มีเงื่อนไขพิเศษ คือ มีเบี้ยปรับ หากอัตราดอกเบี้ยหลุดออกนอกช่วง Range ที่กำหนดสูงถึงอัตราร้อยละ 8.5
นายพงษ์ศักดิ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ตั้งข้อสังเกตเพียงแค่ ในปีที่ 4 และที่ 5 กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8.8 ต่อปี ทำให้ผู้เสียหาย (ธพว.) มีต้นทุนค่อนข้างสูง หากผู้เสียหายคืนเงินก่อนกำหนด จะมีอัตราเบี้ยปรับอย่างไร เชื่อว่า การตกลงดอกเบี้ยขั้นบันได 3 ปีแรก ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เสียหาย จึงไม่มีการตั้งข้อสังเกต
จึงรับฟังไม่ได้ว่า การเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ทำให้ผู้เสียหาย (ธพว.) ได้รับความเสียหาย แต่รับฟังได้ว่า ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เสียหาย
ส่วนการกำหนดเบี้ยปรับ กรณี 6 M Libor range ไม่อยู่ในกรอบที่ตกลงกันไว้ ผู้เสียหาย (ธพว.) ต้องชำระเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 8.5 เป็นเงื่อนไขที่ทำให้ผู้เสียหายอาจได้รับความเสียหายได้ นั้น
เมื่อพิจารณาข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ผู้เสียหาย ต้องชำระเบี้ยปรับก็ต่อเมื่อ 6 M Libor range ไม่อยู่ในกรอบ ดังนี้ โจทก์ต้องนำสืบให้เห็นได้ว่า จำเลยทั้งสี่ มีพฤติการณ์ที่รู้อยู่แล้ว ในขณะทำข้อตกลงหรือในภายหน้า ว่า 6 M Libor range ไม่อยู่ในกรอบอย่างแน่แท้
หรือวิเคราะห์ความเสี่ยงความเสี่ยง ไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ ด้วยเจตนาที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายจากเบี้ยปรับ อันเป็นองค์ประกอบความผิดของบทบัญญัติดังกล่าว
ลำพังการตกลงเงื่อนไขชำระเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 8.5 ต่อปี ต่อเมื่อ 6 M Libor range ไม่อยู่ในกรอบ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะหลุดกรอบหรือไม่ ต้องพิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารที่ธนาคารต่างประเทศเป็นผู้กำหนด หาใช่ขึ้นอยู่กับจำเลยทั้งสี่หรือธนาคาร SCBT เป็นผู้กำหนด
ทั้งได้ความว่า เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2551 ธนาคารกลางสหรัฐ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ทำให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าขอบเขตตามที่ทำสัญญากับธนาคาร SCBT มีเบี้ยปรับเพิ่มอัตราร้อยละ 8.5 แสดงว่า ขณะทำข้อตกลงเบี้ยปรับดังกล่าว 6 M Libor range ยังอยู่ในกรอบที่ผู้เสียหายได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสี่ ดำเนินการเปลี่ยนแปลงแบบขั้นบันได ในปี 2549 และปี 2550
ส่วนการตกลงเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย จากเดิมเป็นแบบขั้นบันไดและมีเบี้ยปรับในกรณีที่ 6 M Libor range ไม่อยู่ในกรอบตามสัญญา
เชื่อว่า เกิดจากการเจรจาเพื่อทำสัญญาทางธุรกิจ ที่จำเลยทั้งสี่ ประสงค์ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายแก่ธนาคาร SCBT ลดลง อันเป็นประโยชน์ต่อผู้เสียหาย (ธพว.) แต่ต้องมีเงื่อนไขเพิ่มเบี้ยปรับ ซึ่งต่างได้รับผลประโยชน์ด้วยกัน เพียงแต่ฝ่ายใดจะได้รับผลประโยชน์มากกว่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับภาวะอัตราดอกเบี้ย 6 M Libor range ในแต่ละช่วงเวลา อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการทำแผนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย
แต่ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ มีเจตนาทำให้ผู้เสียหาย (ธพว.) ได้รับความเสียหาย เพราะผู้เสียหายจะได้รับความเสียหาย ต่อเมื่ออัตราดอกเบี้ย 6 M Libor range หลุดนอกกรอบที่ตกลง
เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่ปรากฏชัดว่า จำเลยทั้งสี่ รับรู้ข้อมูลว่าอัตราดอกเบี้ย 6 M Libor range ภายใน 5 ปี จะต้องหลุดกรอบข้อตกลงอย่างแน่นอน หรือเป็นการพิจารณาความเสี่ยงที่ไม่เป็นตามหลักวิชาการ ตั้งใจวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย
แม้จำเลยทั้งสี่ ไม่ได้ขอมติจากที่ประชุมคณะกรรมการของผู้เสียหาย ปกปิดข้อเท็จจริง เป็นการเก็งกำไร อันมิใช่วัตถุประสงค์ของผู้เสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ก็เป็นเพียงการที่จำเลยทั้งสี่ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ตามอำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย
ยังไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังได้ว่า มีเจตนาที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ในส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทจริตและประพฤติมิชอบไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น
@ไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังได้ว่า‘มีเจตนา’ ทำให้‘ธพว.’เสียหาย
ส่วนกรณีที่จำเลยที่ 3 (นายอวิลาส ชุณหกสิการ) เสนอให้จำเลยที่ 1 (นายจงเจตน์ บุญเกิด) พิจารณาการคำนวณคิดอัตราดอกเบี้ยจาก 365 วันเป็น 360 วัน เพื่อชำระให้แก่ธนาคาร SCBT
เห็นว่า เป็นการลดจำนวนวันจากการคำนวณอัตราดอกเบี้ย ย่อมทำให้ผู้เสียหาย (ธพว.) ได้รับความเสียหายจากการที่ต้องชำระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อย ก็ต้องถือว่าผู้เสียหายได้รับความเสียหายแล้ว
เมื่อพิจารณาสำเนาสัญญา นอกจากตกลงเปลี่ยนเงื่อนไขในสัญญาเกี่ยวกับการคำนวณภาระดอกเบี้ยจ่ายจากฐานการคำนวณเดิมที่ 365 วัน เป็น 360 วัน แล้วยังยังตกลงแก้ไขดอกเบี้ยจ่ายจากดอกเบี้ยคงที่บวกด้วยเบี้ยปรับ เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยของสี่ธนาคารใหญ่บวกด้วยส่วนเพิ่ม และบวกเบี้ยปรับด้วย
เชื่อว่า ข้อตกลงดังกล่าวเกิดจากการเจรจาในการทำสัญญาทางธุรกิจ ที่ต่างฝ่ายต้องได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์ที่รับได้ร่วมกัน ซึ่งข้อตกลงเงื่อนไขดังกล่าว แม้ไม่ได้ขอมติจากที่ประชุมคณะกรรมการของผู้เสียหาย (ธพว.) ตามที่โจทก์อ้าง
แต่จะรับฟังว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีเจตนาให้ผู้เสียหาย (ธพว.) ได้รับความเสียหายหรือไม่นั้น ควรพิจารณาเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทุกเงื่อนไข
โจทก์กลับนำสืบเฉพาะในส่วนการเปลี่ยนแปลงฐานคำนวณดอกเบี้ยเดิมที่ 365 วันเป็น 360 วัน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ผู้เสียหายได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน อันเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 อย่างแน่แน่แท้
โดยมิได้นำเงื่อนไขอื่นมาพิจารณาประกอบ เพื่อแสดงให้เห็นพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ว่า มีเจตนาที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายหรือไม่อย่างไร เพื่อบ่งชี้ถึงเจตนาที่แท้จริงของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ว่า มีเจตนาที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย อันก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3
เพราะหากเงื่อนไขอื่นที่เปลี่ยนแปลง เมื่อนำมาพิจารณาประกอบการเปลี่ยนแปลงฐานคำนวณดอกเบี้ยเดิมที่ 365 วันเป็น 360 วัน แล้วปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับประโยชน์มากกว่า คดีย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีเจตนาที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย
แต่หากเงื่อนไขอื่นที่เปลี่ยนแปลง เมื่อนำมาพิจารณาประกอบการเปลี่ยนแปลงฐานคำนวณดอกเบี้ยเดิมที่ 365 วัน เป็น 360 วัน แล้วปรากฏว่า ผู้เสียหายมีแต่จะได้รับความเสียหาย คดีต้องรับฟังว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีเจตนาที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย
เมื่อโจทก์นำสืบเฉพาะในส่วนการเปลี่ยนแปลงฐานคำนวณดอกเบี้ยเดิมที่ 365 วันเป็น 360 วัน โดยมิได้นำสืบเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงอื่น ประกอบเพื่อแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีเจตนาที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย
กรณีจึงมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีเจตนาที่จะทำให้ผู้เสียหาย (ธพว.) ได้รับความเสียหายหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 5 วรรคแรก เป็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่เป็นความผิด
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 มานั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฟังขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่นอกจากนี้ ไม่เป็นสาระที่ต้องวินิจฉัย เพราะมิได้ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
จากนี้จึงต้องติดตามกันต่อไปว่า บทสรุปของคดีนี้จะเป็นอย่างไร?
อ่านประกอบ :
‘ศาลอุทธรณ์’ ยกฟ้อง‘อดีตCFO‘ธพว.’-พวก’ คดีปรับเงื่อนไข‘ดบ.’โครงการ FRCD ทำธนาคารเสียหาย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา