
"..เหตุการณ์สำคัญที่จุดชนวนความตึงเครียดคือ ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณช่องอานม้า ซึ่งเป็นพื้นที่ลาดตระเวนของไทย ส่งผลให้ทหารบาดเจ็บ 5 นาย โดยไทยได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยระบุว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยและอนุสัญญาออตตาวา หลังจากเหตุการณ์ทุ่นระเบิด สถานการณ์ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นการปะทะด้วยอาวุธ..."
สถานการณ์ชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชาได้ปะทุขึ้นสู่ระดับความตึงเครียดสูงสุดในรอบหลายปี ด้วยเหตุการณ์ปะทะด้วยอาวุธหนักที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของทั้งสองฝ่าย
การยกระดับความรุนแรงครั้งนี้ได้นำไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิตของทั้งทหารและพลเรือน ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานและโบราณสถานในพื้นที่ปะทะ รวมถึงการอพยพประชาชนจำนวนมากออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย
นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศลดระดับลงสู่จุดต่ำสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาได้ทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างเป็นลำดับตั้งแต่ต้นปี 2568 ก่อนที่จะปะทุเป็นการสู้รบเต็มรูปแบบในปลายเดือนกรกฎาคม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ลำดับเหตุการณ์สำคัญก่อนจะเกิดการปะทะล่าสุดในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 มีรายละเอียด ดังนี้
@ลำดับเหตุการณ์สำคัญ
13 กุมภาพันธ์ 2568
ทหารไทยขัดขวางไม่ให้นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาร้องเพลงชาติกัมพูชาที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาท ทำให้ความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้น เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึงคุณค่าเชิงสัญลักษณ์อันลึกซึ้งของปราสาทในข้อเรียกร้องดินแดนที่กำลังดำเนินอยู่
28 พฤษภาคม 2568
เกิดการปะทะเล็กน้อยเป็นเวลา 10 นาทีระหว่างทหารกัมพูชาและทหารไทยบริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ทั้งสองประเทศต่างกล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นผู้เริ่มโจมตีก่อน ซึ่งเป็นการสร้างรูปแบบการกล่าวโทษซึ่งกันและกัน
29 พฤษภาคม 2568
มีการหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารระดับสูงของทั้งสองฝ่ายเพื่อลดความตึงเครียด นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ได้ประกาศเจตนาที่จะยื่นเรื่องต่อศาล ICJ ในขณะที่รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทยระบุว่าไม่มีฝ่ายใดต้องการให้สถานการณ์บานปลาย สิ่งนี้บ่งชี้ถึงความพยายามเบื้องต้นในการลดความตึงเครียด แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

คูเลต ทหารกัมพูชาขุดลากยาว จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร ซึ่งเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ (วันที่ 28 พ.ค.2568)
5 มิถุนายน 2568
การเจรจาทวิภาคีเพื่อลดความตึงเครียดล้มเหลว โดยฝ่ายไทยอ้างว่ากัมพูชาปฏิเสธข้อเสนอของไทย นี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจอย่างลึกซึ้งและความล้มเหลวในการหาจุดร่วมผ่านการเจรจา
7 มิถุนายน 2568
ประเทศไทยเสริมกำลังทหารตามแนวชายแดน โดยอ้างว่าพลเรือนกัมพูชาล่วงล้ำเข้ามาในดินแดนไทยบ่อยครั้ง ซึ่งบ่งชี้ถึงเจตนาที่จะใช้กำลัง สิ่งนี้แสดงถึงการเสริมกำลังทางทหารและการแข็งกร้าวของท่าที

ไทย-กัมพูชา หารือคลี่คลายสถานการณ์พื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2568
17 มิถุนายน 2568
กัมพูชาสั่งห้ามนำเข้าผลไม้และละครโทรทัศน์จากประเทศไทย ซึ่งบ่งชี้ว่าความขัดแย้งได้ขยายไปสู่มิติทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้มาตรการลงโทษที่ไม่ใช่ทางทหาร
21-23 มิถุนายน 2568
ประเทศไทยปิดจุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกูในอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ กัมพูชาตอบโต้ด้วยการปิดจุดผ่านแดนบ้านจูปโกกิและช่องจอม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจุดผ่านแดนของไทย และสั่งระงับการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซจากประเทศไทยทั้งหมดตั้งแต่เที่ยงคืน
หลังจากนั้น ประเทศไทยได้ปิดจุดผ่านแดนทั้งหมดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาภายใต้อำนาจทางทหาร โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติและการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์และการหลอกลวง
4 กรกฎาคม 2568
เกิดการเผชิญหน้าด้วยวาจาระหว่างทหารกัมพูชาติดอาวุธและทหารพรานไทยในพื้นที่พิพาทในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งสถานการณ์คลี่คลายลงโดยไม่มีความรุนแรง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดในพื้นที่ที่ยังคงมีอยู่
3 กรกฎาคม 2568
นักท่องเที่ยวชาวไทยคนหนึ่งทำร้ายทหารกัมพูชาที่ปราสาทตาเมือนธมในจังหวัดสุรินทร์ และถูกเจ้าหน้าที่ไทยจับกุมในเวลาต่อมา เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึงการมีส่วนร่วมของพลเรือนและบรรยากาศที่ผันผวน
@เหตุการณ์ทุ่นระเบิด
23 กรกฎาคม 2568
เหตุการณ์สำคัญที่จุดชนวนความตึงเครียดคือการที่กำลังพลจากกองพันทหารราบที่ 14 ของไทยเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณห้วยบอน ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ลาดตระเวนของไทย ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บ 5 นาย โดยหนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นข้อเท้าขวาขาด
กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยระบุว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยและอนุสัญญาออตตาวาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
หลังจากเหตุการณ์ทุ่นระเบิด สถานการณ์ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นการปะทะด้วยอาวุธ



@การเปิดฉากยิงและการตอบโต้
24 กรกฎาคม 2568
ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงใส่ทหารไทยบริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และบริเวณพื้นที่ปราสาทโดนตวล จังหวัดศรีสะเกษ
กองทัพไทยระบุว่า ก่อนการเปิดฉากยิง ได้มีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของกัมพูชาบินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม และต่อมากัมพูชาได้นำอาวุธและกำลังพล 6 นายพร้อมอาวุธครบมือ รวมถึง RPG เข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย ก่อนที่จะเปิดฉากยิงใส่ในระยะประมาณ 200 เมตร
การปะทะได้ขยายวงกว้างและทวีความรุนแรงขึ้นในหลายจุดสำคัญตามแนวชายแดน โดยมีการปะทะในอย่างน้อย 6 พื้นที่หลัก ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาควาย, ช่องบก, เขาพระวิหาร, ช่องอานม้า, และช่องจอม
กองทัพภาคที่ 2 ของไทยได้ตอบโต้การโจมตีอย่างเต็มที่ใน 10 จุดสำคัญ โดยมีการใช้รถถังเข้าตีเพื่อยึดพื้นที่ในบริเวณซำแต อำเภอกันทรลักษ์ และเขาพระวิหาร
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ทิ้งระเบิดที่ตั้งกำลังกัมพูชาที่ช่องอานม้าและจุดตรวจการณ์ภูผี รายงานยังระบุว่าสามารถทำลายรถถังกัมพูชาได้ 2 คันที่จุดตรวจการณ์เขาสัตตาโสม
ในส่วนของกัมพูชา มีรายงานว่า ได้ใช้ปืนใหญ่ BM-21 จากอำเภอจอมกระสาน ระดมยิงไปทางซัมแตก และมีการโจมตีใส่แหล่งชุมชนและโบราณสถานของไทย รวมถึงโรงพยาบาลพนมดงรัก ปั๊มน้ำมัน และศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน
การใช้ยุทโธปกรณ์หนักและเป้าหมายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนเช่นโรงพยาบาลและปั๊มน้ำมัน แสดงให้เห็นถึงการยกระดับรูปแบบการสู้รบที่ก้าวข้ามจากการปะทะในจุดตรวจการณ์ทางทหารไปสู่การโจมตีที่มุ่งสร้างความเสียหายในวงกว้างและก่อให้เกิดความสูญเสียต่อพลเรือน





25 กรกฎาคม 2568
การสู้รบยังคงดุเดือดต่อเนื่องเข้าสู่วันที่สองในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 โดยทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงทหารไทยอย่างดุเดือดตั้งแต่เช้าตรู่ (04.30 น.) บริเวณรอบพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร มีรายงานว่าทหารไทยตรวจพบกำลังพลของทหารกัมพูชาประชิดตลอดแนวชายแดนพื้นที่กษัตริย์ศึก ซึ่งเป็นเขตรับผิดชอบของกองพันทหารราบที่ 21
นอกจากนี้ กัมพูชายังใช้กำลังเข้ายึดเนิน 469 และมีการตรวจพบยานพาหนะคล้ายรถถังของฝ่ายกัมพูชาจำนวน 6 คันจอดเรียงหน้ากระดานบริเวณพิกัด 5298887609 ตรงข้ามช่องปลดต่าง


26 กรกฎาคม 2568
กองทัพเรือไทยเปิดเผยว่า กองกำลังกัมพูชาได้เปิดฉากรุกใหม่ในบ้านชำราก จังหวัดตราด จึงได้เปิดปฏิบัติการ ‘ตราดพิฆาตไพรี 1’ และได้ผลักดันการรุกคืบของกัมพูชาออกไป
ทั้งนี้ มีรายงานว่ากระสุนปืนใหญ่ 10 ลูกตกลงในดินแดนของลาวระหว่างการปะทะ โดยประเทศไทยชี้แจงว่ากระสุนที่ตกลงในลาวนั้นมาจากกัมพูชา ทั้งนี้ กองกำลังไทยสามารถยึดภูมะเขือคืนได้สำเร็จ
นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ 1 เข้าดำเนินการใช้กำลังทหารเพื่อผลักดันและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของฝ่ายกัมพูชา ที่รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทย อันเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU ปี 2543 (MOU 43) จำนวน 4 พื้นที่ บริเวณชายแดนจังหวัดสระแก้ว ได้แก่ อำเภอตาพระยา 2 พื้นที่ และอำเภอโคกสูง 2 พื้นที่
ผลการปฏิบัติสามารถผลักดันกำลังฝ่ายกัมพูชาออกจากทั้ง 4 พื้นที่ได้เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันได้ดำเนินการวางกำลังตรึงพื้นที่ตลอดแนวชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อรักษาอธิปไตย และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย






@ผลกระทบ-ความสูญเสีย บาดเจ็บ
ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2568 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตผู้คนทั้งทหารและพลเรือน มีรายละเอียด ดังนี้
ความสูญเสียทางทหาร
ทหารไทย
- มีรายงานว่ามีทหารเสียชีวิต 6 นาย และบาดเจ็บ 29 นาย นอกจากนี้ ตำรวจตระเวนชายแดนได้รับบาดเจ็บ 5 นาย รายงานก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ระบุว่ามีทหารเสียชีวิตอย่างน้อย 1 นาย และบาดเจ็บ 14 นาย
ทหารกัมพูชา
- สื่อกัมพูชารายงานว่ามีทหารเสียชีวิต 6 นาย และบาดเจ็บ 21 นาย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม มีทหารเสียชีวิต 5 นาย และบาดเจ็บ 21 นาย
พลเรือนไทย
- มีรายงานว่ามีพลเรือนเสียชีวิต 13 ราย ซึ่งรวมถึงเด็ก และมีพลเรือนบาดเจ็บ 30 รายจากการโจมตีของกัมพูชา รายงานก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ยืนยันว่ามีพลเรือนเสียชีวิต 13 ราย และบาดเจ็บ 32 ราย
โดยรวมแล้ว มีพลเรือนไทยเสียชีวิตอย่างน้อย 19 ราย และบาดเจ็บ 62 ราย
พลเรือนกัมพูชา
- เจ้าหน้าที่กัมพูชารายงานว่ามีพลเรือนเสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บ 50 ราย มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 12 รายเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ซึ่งประกอบด้วยพลเรือน 7 ราย และทหาร 5 ราย ชายชาวกัมพูชาคนหนึ่งเสียชีวิตเมื่อจรวดของไทยโจมตีวัดพุทธที่เขาหลบภัยอยู่
ทั้งหมดนี้ คือรายละเอียดสำคัญของความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โดยปัจจุบันยังคงดำเนินอยู่ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้ม เสียชีวิตจำนวนมาก และมีการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ชายแดน อย่างไรก็ตาม จะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบคือประชาชนของทั้งสองประเทศ


ภาพจาก:กองทัพบก Royal Thai Army , กองทัพเรือ Royal Thai Navy

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา