
"...ทั้งหมดนี้ คือ สรุปข้อเท็จจริงรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของจเรตำรวจ ใน 4 ประเด็น ที่มีการนำเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 หลังจากนั้น เรื่องนี้ก็เงียบหายไป ปัจจุบันการดำเนินการตามรายงานผลสอบเรื่องนี้ อยู่ในขั้นตอนไหน ยังไม่มีใครล่วงรู้ จนกระทั่ง ก.ต. มีมติลงโทษผู้พิพากษาระดับสูงที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีแทรกแซงการเพิกถอนหมายจับ นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ออกราชการ ตามที่สำนักข่าวอิศรา นำเสนอไปแล้ว..."
กรณีเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) มีการพิจารณารายงานผลการสอบสวนข้าราชการตุลาการ จำนวน 3 ราย โดยที่ประชุมมีมติให้ข้าราชการตุลาการที่ถูกสอบสวน ออกจากราชการ 2 ราย ส่วนอีก 1 ราย ให้ไล่ออกจากราชการ และมีมติเอกฉันท์ให้ส่งเรื่องคณะกรรมการป่องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
โดยผู้พิพากษารายแรก ที่ถูกลงโทษให้ออกจากราชการ เป็นกรณีแทรกแซงการเพิกถอนหมายจับ นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในคดีพัวพันกับการฟอกเงินขบวนการค้ายาเสพติดของ ‘ทุนมินลัต’ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตร (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) กองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ร้องเรียนต่อกรรมการ ก.ต.รายหนึ่งว่า ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขอออกหมายจับนายอุปกิต ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงินในวันที่ 3 ต.ค. 2565 และศาลได้อนุมัติตามคำขอแล้ว
แต่ต่อมาในวันเดียวกัน ได้มีการเพิกถอนหมายจับ “โดยอ้างว่า เป็นบุคคลสำคัญ จึงเชื่อได้ว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี” โดยหนังสือร้องเรียนกล่าวหารองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญารายหนึ่งแทรกแซงให้มีการเพิกถอนหมายจับ ปัจจุบันผู้พิพากษารายนี้ไปอยู่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 นั้น

ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการยุติธรรมต่างดังกระหึ่มอีกครั้ง
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ศาลยุติธรรม’ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนักหลายครั้ง โดยเฉพาะคำตัดสินผู้ต้องหาคดีทางการเมือง
แต่คราวนี้มิใช่คดีทางการเมือง แต่เป็นคดีอาญาระดับชาติ ที่มีบุคคลระดับ ‘นักการเมือง-บิ๊กสีกากี’ เข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันอย่างซับซ้อน และมีการ ‘แทรกแซงคดี’ เกิดขึ้น
พลันที่มติ ก.ต.เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ‘รังสิมันต์ โรม’ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) หยิบเรื่องนี้มาขยี้ซ้ำว่า เรื่อง สว. ทรงเอ ที่ผมเคยอภิปรายเปิดโปงในสภาตั้งแต่ปี 2566 รวมถึงนำเอกสารเพิกถอนหมายจับที่อดีตรองอธิบดี นามว่า อ. (อิศรา ขอสงวนชื่อ-นามสกุล) เข้าไปเกี่ยวข้อง ส่งผลให้ สว.ทรงเอ ถูกถอนหมายจับในเวลาห่างจากการออกหมายจับไม่กี่ชั่วโมง คงจะมีการวิ่งเต้นกันน่าดู จึงกล้าถอนหมายจับ และเรียกตำรวจที่ทำคดีนี้ไปตำหนิโดยไม่ให้เกียรติใดๆ
นอกจากเรื่องราวในศาลแล้ว ยังมีประเด็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ ‘จเรตำรวจ’ ที่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ ในยุค พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ เป็นจเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) โดยเขาชื่นชมว่า ได้ทำหน้าที่ในการสร้างความกระจ่างเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา พบว่ามีตำรวจระดับสูงหลายคนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงคดีทุนมินหลัดและ สว. ทรงเอ
โดย ‘รังสิมันต์’ กล่าวอ้างตามรายงาน 67 หน้าของจเรตำรวจ อ้างว่า มีข้าราชการตำแหน่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หลายนาย เช่น พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ พ.ต.ท. มาระพงษ์ฯ เป็นต้น ถูกกล่าวหาพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย

ที่น่าสนใจตามรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของจเรตำรวจในประเด็นการแทรกแซงการสืบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานของอดีตผู้บังคับบัญชา และนายตำรวจระดับสูงของ ตร. โดยพบข้อเท็จจริงว่า ในรายงานผลตรวจสอบชิ้นนี้ ปรากฏชื่อ ‘บิ๊กข้าราชการตำรวจ-ทหาร’ เข้าไปพัวพัน ถูกกล่าวหาแทรกแซงคดี ‘ทุน มิน หลัด’ ด้วย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สรุปข้อเท็จจริงรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของจเรตำรวจ เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ที่นำเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในขณะนั้น ซึ่งมี 4 ประเด็นสำคัญ มาเสนอ ดังนี้
@ ประเด็นการแทรกแซงการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ของอดีตผู้บังคับบัญชาและนายตำรวจระดับสูงของ ตร.
ข้อเท็จจริงที่ได้จากการให้ถ้อยคำของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. ที่สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับ ‘ทุน มิน หลัด’ กับพวกรวม 4 คน และขยายผลการสืบสวนไปถึง ‘อุปกิต ปาจรียางกูร’ อดีต สว. และผู้อยู่เบื้องหลังเครือข่ายยาเสพติดอัลัวร์นั้น มีข้าราชการตำรวจยศตั้งแต่สิบตำรวจตรี ดาบตำรวจ ร้อยตำรวจเอก และพันตำรวจโท ให้ถ้อยคำสอดคล้องต้องกันว่า ภายหลังจับกุมตัว ‘ทุน มิน หลัด’ กับพวก พ.ต.ท.มานพงษ์ฯ ได้พูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. ฟังหลายครั้งว่า พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ ได้บอกกับตนว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ กำชับให้ พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ แจ้งให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ กับพวกว่า ไม่ต้องการให้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ขยายผลเครือข่ายอัลลัวร์ไปยังบุคคลอื่นต่อไป ซึ่งรวมถึง ‘อุปกิต’ ด้วย โดยคำให้การสอดคล้องกันดังกล่าว ถือเป็นการสนับสนุนถ้อยคำของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ ในประเด็นเกี่ยวกับ พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ นี้ให้มีน้ำหนักว่าน่าจะมีมูลความจริง
นอกจากนี้ พ.ต.อ.กฤศณัฏฐ์ฯ พ.ต.ท.สุชาติฯ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ ที่ให้ถ้อยคำสอดคล้องต้องกันว่า สรุปพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับนายอุปกิตได้ จึงได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. ทุกคนเห็นว่ามีพยานหลักฐานพอสมควร ควรดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่ควรหยุดการดำเนินคดี เพราะเหตุที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงตกลงใจว่าไปยื่นคำร้องขอหมายจับนายอุปกิต และพิจารณาแล้วเห็นว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ และ พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ น่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินคดีกับนายอุปกิตฯ
ขณะเดียวกันในส่วนการประชุมสั่งการของ พล.ต.ต.ธีรเดชฯ กรณีการสืบสวนคดี ‘ทุน มินหลัด’ นั้น เชื่อว่า พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ไม่อยากให้สืบสวนคดีนี้ต่อ เพราะได้รับแรงกดดันจากผู้บังคับบัญชา และต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดชฯ มีหนังสือกำชับการปฏิบัติในการขออนุมัติออกไปปฏิบัติราชการนอกที่ตั้ง โดยเชื่อว่าการออกคำสั่งครั้งนี้เพื่อกำชับไม่ให้ไปออกหมายจับนายอุปกิตเป็นครั้งที่ 2 หรือดำเนินการสืบสวนคดีเครือข่ายของ ‘ทุน มิน หลัด’ ได้อีก
นอกจากนี้ บรรดาตำรวจข้างต้น ยังมีการให้ถ้อยคำด้วยว่า พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ อ้างว่าได้โทรศัพท์คุยกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ โดยเปิดลำโพงให้ พล.ต.ท.สรายุทธฯ และ พ.ต.ต.ทีปกรฯ ได้ยิน โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ สั่งให้เอาพยานหลักฐานที่มีภาพของตนเอง และ พล.อ.อภิรัชต์ฯ อดีต ผบ.ทบ.ออก ก่อนจะทิ้งท้ายว่า ให้ดูให้ละเอียด และเน้นย้ำว่า อะไรที่ทำให้พวกเราเดือดร้อน ให้เอาออก
เมื่อพิจารณาหนังสือชี้แจงของ พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ พล.ต.ต.ธีรเดชฯ พล.ต.ท.สรายุทธฯ ร่วมกับพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่ได้จากการให้ถ้อยคำ และพยานหลักฐานที่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง แม้ว่า พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ จะปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปยุ่ง หรือแทรกแซง รวมถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ไม่ได้สั่งการใด ๆ ในการแทรกแซงคดี หรือให้ตัดพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับ ‘อุปกิต’ ออก
แต่จากการให้ถ้อยคำของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ พ.ต.อ.กฤศณัฏฐ์ฯ ต่างให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ ได้ใช้วิธีโทรศัพท์ไปหาเพื่อให้หยุดดำเนินการสืบสวนขยายผลเครือข่ายยาเสพติดของ ‘ทุน มิน หลัด’ กับพวก ไปยังนายอุปกิต และผู้อยู่เบื้องหลัง และโทรศัพท์สั่งการให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ ดึงเอกสารพยานหลักฐานบางส่วนที่ได้จากการสืบสวนจับกุมคดีนี้ออก ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ และ พล.อ.อภิรัชต์ฯ โดยบรรดาตำรวจที่ให้ถ้อยคำข้างต้น ต่างให้ถ้อยคำยืนยันว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ และ พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ น่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญ ที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินคดีกับนายอุปกิต
ขณะที่ พ.ต.ต.ทีปกรฯ ให้ถ้อยคำว่า ต้องฝืนใจทำการคัดเอกสารที่ปรากฏภาพ พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ และ พล.อ.อภิรัชต์ฯ ออกจากเอกสารพยานหลักฐานประกอบการสืบสวน จำนวน 608 แผน ที่ต้องนำส่งให้พนักงานสอบสวน บก.ปส.3 พร้อมตัวผู้ต้องหา ตามคำสั่งของ พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงขณะนั้น อันเป็นการให้ถ้อยคำปฏิปักษ์กับตนเองถึงขนาดที่จะทำให้ต้องถูกดำเนินการทางวินัยและอาญาได้นั้น ย่อมทำให้ถ้อยคำของ พ.ต.ต.ทีปกรฯ มีน้ำหนักและรับฟังได้ว่า เป็นความจริง
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้ประชุมปรึกษากันอย่างละเอียดรอบคอบ และเป็นธรรมแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ในประเด็นนี้ว่า กรณีเป็นที่สงสัยว่า พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ พล.ต.ต.ธีรเดชฯ พล.ต.อ.สุวัฒน์ พล.ต.ท.สรายุทธฯ และ พ.ต.ต.ทีปกรฯ กระทำผิดวินัย เห็นสมควรดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการตำรวจดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 ต่อไป
@ ประเด็นการยื่นคำร้องขอหมายจับนายอุปกิต ต่อศาลอาญาของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ
ข้อเท็จจริงได้ความว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในคดีของนายอุปกิต ได้ยื่นคำร้องขอหมายจับนายอุปกิตต่อศาลอาญา เมื่อ 3 ต.ค. 2565 ซึ่งเป็นห้วงระยะเวลาปิดสมัยประชุมสภาฯ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 59 คณะกรรมการฯได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การยื่นคำร้องขอหมายจับของนายอุปกิต ต่อศาลอาญาของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ เป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว
ดังนั้นประเด็นดังกล่าวไม่มีมูลเพียงพอที่ควรกล่าวหา หรือสงสัยว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ หรือข้าราชการตำรวจผู้ใดกระทำผิดวินัยแต่อย่างใด เห็นควรยุติเรื่อง
@ ประเด็น พ.ต.ต.ชัชวาลฯ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี ไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราว ‘ทุน มิน หลัด’ กับพวกในคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 ต่อศาลอาญา และการดำเนินการของ บก.ปส.3 ภายหลังจากที่ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. โดย พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายอุปกิต
(1) ประเด็น พ.ต.ต.ชัชวาลฯ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี ไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราว ‘ทุน มิน หลัด’ กับพวกในคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 ต่อศาลอาญา โดยจากการสอบสวนเชื่อได้ว่า พล.ต.ท.สรายุทธฯ พ.ต.อ.ชัชวาลย์ฯ และ พ.ต.อ.สุรพลฯ ได้ช่วยกันพยายามเกลี้ยกล่อม พ.ต.ต.ชัชวาลฯ ให้ไม่คัดค้านการประกันตัว ‘ทุน มิน หลัด’ กับพวก ในการฝากขังครั้งที่ 1 ต่อศาลอาญา ตามที่ พ.ต.ต.ชัชวาลฯ ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการฯไว้จริง อันเป็นการแทรกแซงการใช้ดุลพินิจของ พ.ต.ต.ชัชวาลฯ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในขณะนั้น
สำหรับ พ.ต.ต.ชัชวาลฯ แม้ว่าจะมีเจตนาคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหามาตั้งแต่ต้น ก่อนที่จะจำยอมฝืนใจแก้เอกสารคำร้องขอฝากขังเป็นไม่ขอคัดค้านการประกันตัวในภายหลังก็ตาม การกระทำดังก่าวจึงเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ชอบด้วยระเบียบที่เกี่ยวข้อง และไม่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ การปฏิบัติตามคำสั่งย่อมอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ หรือไม่รักษาผลประโยชน์ของทางราชการได้
คณะกรรมการฯ ได้ประชุมปรึกษากันอย่างละเอียดรอบคอบและเป็นธรรมแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ในประเด็นนี้ว่า กรณีเป็นที่สงสัยว่า พล.ต.ท.สรายุทธฯ พ.ต.อ.สุรพลฯ พ.ต.อ.ชัชวาลย์ฯ และ พ.ต.ต.ชัชวาลฯ กระทำผิดวินัย เห็นควรดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการตำรวจดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 ต่อไป
(2) การดำเนินการของ บก.ปส.3 ภายหลังจากที่ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. โดย พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายอุปกิต คณะกรรมการได้พิจารณาถ้อยคำของผู้ที่เกี่ยวข้องและพยานหลักฐานที่ได้จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า เมื่อ 3 ต.ค. 2565 พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ ได้ยื่นคำร้องต่อศษลอาญาเพื่อออกหมายจับนายอุปกติ โดยศาลอนุญาตให้ออกหมายจับตามที่ร้องขอ ต่อมาช่วงบ่ายวันเดียวกันศาลอาญาได้เพิกถอนหมายจับดังกล่าว โดยจดแจ้งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า ผู้ร้องให้ออกหมายจับ ศาลได้พิจารณาคำร้องแล้ว ให้ออกหมายจับตามคำขอ เมื่อพิจารณาคำแนะนำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ทางผู้ร้องแจ้งว่า ให้เจ้าหน้าที่ศาลว่า ผู้ถูกออกหมายจับเป็นบุคคลสำคัญ แต่ไม่ได้แจ้งให้ศาลทราบ จึงให้เพิกถอนหมายจับกับหมายค้นเสีย เพื่อให้หมายเรียกก่อนภายใน 15 วัน หากทางบุคคลดังกล่าว มิมาตามหมายเรียก ให้ผู้ร้องดำเนินการขอหมายจับต่อไป สำหรับหมายเรียกให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการโดยด่วน เหตุที่ให้ออกหมายเรียก เนื่องจากบุคคลดังกล่าวเชื่อว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
ทั้งนี้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ พ.ต.อ.กฤศณัฏฐ์ฯ พ.ต.ต.ทีปกรฯ ให้ถ้อยคำสอดคล้องกัน สรุปได้ว่า ได้นำพยานหลักฐานพร้อมสำเนาหมายจับที่ถูกเพิกถอนแล้วให้กับ บก.ปส.3 เพื่อดำเนินการออกหมายเรียก แต่ในระยะเวลา 28 วัน พนักงานสอบสวน บก.ปส.3 ไม่ได้ดำเนินการออกหมายเรียกตามที่ศาลจดแจ้งไว้แต่อย่างใด แม้พนักงานสอบสวน บก.ปส.3 อ้างว่า ได้มีหนังสือยังศาลอาญาเพื่อขอหารือแนวทางปฏบัติเกี่ยวกับรายงานกระบวนพิจารณาเพิกถอนหมายจับนายอุปกิต ที่ศษลจดแจ้งไว้ จนเมื่อ 25 ต.ค. 2565 ได้รับหนังสือจากศาลอาญาแจ้งว่า เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวนเป็นผู้ใช้ดุลพินิจ ศาลไม่อาจบังคับเพื่อให้ออกหมายเรียกได้ กรณีนี้จึงไม่มีเหตุที่พนักงานสอบสวนต้องเริ่มนับวันตามหนังสือขอหารือกับศาลอาญาแต่อย่างใด คณะกรรมการฯได้ประชุมปรึกษากันอย่างละเอียดรอบคอบและเป็นธรรมแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ในประเด็นนี้ว่า กรณีเป็นที่สงสัยว่า พนักงานสอบสวน บก.ปส.3 กระทำผิดวินัย เห็นควรดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการตำรวจดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 ต่อไป
@ ประเด็นการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุมคดี ‘ทุน มิน หลัด’ กับพวก และนายอุปกิต ออกนอกสังกัด กก.สส.2 บก.สส.บช.น. เมื่อวาระการแต่งตั้งประจำปี 2565 ที่ผ่านมา
คณะกรรมการฯได้นำถ้อยคำของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. มาพิจารณาประกอบกันแล้วเห็นว่า การแต่งตั้ง พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ กับพวก 4 ราย ไปดำรงตำแหน่งนอกสังกัดนั้น เป็นเหตุประการหนึ่งที่อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายอุปกิต และไม่สามารถสืบสวนขยายผลเครือข่ายยาเสพติดไปยังผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้อีกต่อไปก็ตาม ในกรณีนี้อาจเป็นไปได้ว่าจะมีมูลความจริงก็ตาม แต่ก็ไม่มีพยานหลักฐานใดเพียงพอที่จะพิสูจน์ หรือยืนยันว่า การใช้อำนาจของผู้สั่งแต่งตั้งที่ได้ดำเนินการตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องข้างต้น มีเจตนากลั่นแกล้งให้ไปดำรงตำแหน่งนอกสังกัด โดยมีมูลเหตุจูงใจดังกล่าว
คณะกรรมการฯ ได้ประชุมปรึกษากันอย่างละเอียดรอบคอบและเป็นธรรมแล้ว เห็นว่า ประเด็นดังกล่าวไม่มีมูลเพียงพอที่ควรกล่าวหา หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่า ผู้ออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจทั้ง 4 นาย หรือข้าราชการตำรวจผู้ใด กระทำผิดวินัยแต่อย่างใด เห็นควรยุติเรื่อง
*************************
ทั้งหมดนี้ คือ สรุปข้อเท็จจริงรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของจเรตำรวจ ใน 4 ประเด็น ที่มีการนำเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 หลังจากนั้น เรื่องนี้ก็เงียบหายไป ปัจจุบันการดำเนินการตามรายงานผลสอบเรื่องนี้ อยู่ในขั้นตอนไหน ยังไม่มีใครล่วงรู้ จนกระทั่ง ก.ต. มีมติลงโทษผู้พิพากษาระดับสูงที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีแทรกแซงการเพิกถอนหมายจับ นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ออกราชการ ตามที่สำนักข่าวอิศรา นำเสนอไปแล้ว ก่อนที่ นายรังสิมันต์ โรม จะนำรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของจเรตำรวจ มาเปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นทางการ ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้
ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม ยังเรียกร้องให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีออกมาจัดการเรื่องนี้ รวมถึงให้พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. คนปัจจุบัน ดำเนินการตามกฎหมาย
พร้อมพูดดักคอว่า "อย่าอ้างว่าไม่รู้ เพราะรายงานนี้ต้องอยู่ในมือของท่านแล้ว"
ท่าทีของ นางสาวแพทองธาร และ พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ ต่อเรื่องนี้เป็นอย่างไร คงต้องติดตามดูกันต่อไป
อย่างไรก็ดี ผู้ถูกกล่าวหา และผู้ถูกพาดพิงชื่อทั้งหมดในรายงานคณะกรรมการตรวจสอบฯชุดนี้ ยังมิได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงยังสามารถชี้แจงข้อเท็จจริง และมีสิทธิ์ต่อสู้ตามกระบวนการกฎหมายได้อยู่

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา