"...สำหรับบรรยากาศภาพรวมในการอภิปรายตั้งแต่วันที่ 24-26 มี.ค. 2568 สามารถสรุปได้ว่าค่อนข้างดุเดือด เนื่องจากมีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่น การประท้วงกันไปมาระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ฝ่ายรัฐบาล และผู้อภิปราย, การที่ผู้อภิปรายมีการใช้ถ้อยคำที่บุคคลในยุค Generation Babyboomers ไม่เข้าใจความหมาย, ท่าทีของรัฐมนตรีบางรายที่แสดงต่อรัฐสภาเมื่อถูกกล่าวถึง เป็นต้น รวมไปถึงคำชี้แจงและท่าทีของน.ส.แพทองธาร มีต่อฝ่ายค้านที่ทำการอภิปรายในประเด็นต่าง ๆ ..."
จบไปแล้วกับการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ราย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่สุดท้ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรก็ยังคงลงมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยในที่ประชุมมีมติ ไม่ไว้วางใจนางสาว แพทองธาร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 162 เสียง ไว้วางใจ 319 งดออกเสียง 7 เสียง โดยมีผู้ลงมติ 487 คน
สำหรับบรรยากาศภาพรวมในการอภิปรายตั้งแต่วันที่ 24-26 มี.ค. 2568 สามารถสรุปได้ว่าค่อนข้างดุเดือด เนื่องจากมีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่น การประท้วงกันไปมาระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ฝ่ายรัฐบาล และผู้อภิปราย, การที่ผู้อภิปรายมีการใช้ถ้อยคำที่บุคคลในยุค Generation Babyboomers ไม่เข้าใจความหมาย, ท่าทีของรัฐมนตรีบางรายที่แสดงต่อรัฐสภาเมื่อถูกกล่าวถึง เป็นต้น รวมไปถึงคำชี้แจงและท่าทีของน.ส.แพทองธาร มีต่อฝ่ายค้านที่ทำการอภิปรายในประเด็นต่าง ๆ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) วิเคราะห์ รวบรวม และเรียบเรียงเหตุการณ์ที่น่าสนใจมานำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบโดยทั่วกัน ดังนี้
@ ให้คะแนนลีลานายกฯ ในศึกซักฟอก ‘ค่อนข้างน่าผิดหวัง’
เริ่มที่การให้คะแนนลีลาการชี้แจง ‘น.ส.แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี ที่ถูกซักฟอกครั้งแรก
ที่คงจะต้องให้คะแนนระดับ ‘ค่อนข้างน่าผิดหวัง’ หลายต่อหลายครั้งของการชี้แจงในแต่ละประเด็นมีแต่ประโยคซ้ำ ๆ เดิม ๆ ได้แก่ “ไม่เป็นความจริง” “ทำถูกกฎหมายทุกอย่าง” “ไม่เคยใช้อำนาจไปแทรกแซงหน่วยงาน” “ไม่ใช่เรื่องแปลก” 4 ประโยคนี้มักได้ยินเกือบทุกครั้งที่มีการชี้แจงจากนายกรัฐมนตรี และนายกฯไม่สามารถชี้แจงประเด็นการเลี่ยงการเสียภาษี และการได้มาซึ่งที่ดินโรงแรม เทมส์ วัลลีย์ ให้ชัดเจนได้ จะอาศัยแค่คำว่า 'ทำถูกกฎหมายทุกอย่าง' มาชี้แจงเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ควรจะมีรายละเอียดเพื่อให้ประชาชนและฝ่ายค้านได้เข้าใจอย่างชัดเจน
อีกทั้งเมื่อฝ่ายค้านมีการกล่าวถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบิดาของน.ส.แพทองธาร การชี้แจงของนายกรัฐมนตรีแพทองธารมักจะมาจากมุมมองส่วนตัวในฐานะลูกของนายทักษิณ ไม่ได้มาจากมุมมองในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ซึ่งในการชี้แจงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านควรชี้แจงด้วยข้อเท็จจริงที่ปราศจากความเชื่อส่วนตัว อย่างไรก็ดีมนุษย์ไม่สามารถสลัดความเชื่อส่วนตัวที่ฝังอยู่ในจิตใจมาอย่างเนิ่นนานออกไปได้ แต่บุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรีควรจะทำได้ เพื่อทำให้จิตใจเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น/ความเชื่ออื่น ๆ ได้เพื่อให้สมกับที่เป็นผู้นำประเทศที่ต้องดูแลประชาชนที่มีความแตกต่างทางความคิดหลายสิบล้านคน
ยกตัวอย่างกรณีที่ผู้อภิปรายหลายคนกล่าวย้ำหลายครั้งว่า นายกฯถูกครอบงำโดยนายทักษิณ และน.ส.แพทองธารชี้แจงว่า “...คนที่ย้ำเรื่องเดิมๆอยู่หลายครั้งไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองขาดหรือไม่ แต่ว่าจริงๆแล้วคิดว่าไม่ต้องคิดแบบนั้นก็ได้ และที่จริงไม่ใช่แค่ตัวดิฉันที่ถูกกล่าวหาเรื่องการถูกครอบงำ ตัวท่านเอง (ผู้นำฝ่ายค้าน) ก็ถูกกล่าวหาเรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่ต่างกันว่า ดิฉันถูกคุณพ่อครอบงำ ของท่านถูกครอบงำโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ และคิดเลยว่าไม่อยากให้ใครพูดแบบนี้…”
การที่น.ส.แพทองธารตอบไปเช่นนี้ไม่ได้ทำให้น.ส.แพทองธาร ดูมีมาดของผู้นำประเทศแต่อย่างใด แต่ทำให้เห็นว่าน.ส.แพทองธารยังคงใช้อารมณ์ ประชดประชันฝ่ายตรงข้าม (ซึ่งนายกชี้แจงฝ่ายค้านที่กล่าวอภิปรายด้วยท่าทีเช่นนี้หลายครั้ง) การทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำของน.ส.แพทองธารดูแย่กว่าเดิม ทั้งที่น.ส.แพทองธารสามารถมอบคำชี้แจงที่ดีกว่านี้ได้ให้สมกับฐานะนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเกือบครึ่งประเทศเลือกมา จึงต้องให้คะแนน ‘ค่อนข้างน่าผิดหวัง’ แก่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในศึกซักฟอกอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้
@ สีสันในศึกซักฟอก
อย่างที่ระบุไปแล้วในช่วงต้นว่าการอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ มีบรรยากาศค่อนข้างดุเดือด เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจ กระตุ้นอารมณ์ของประชาชนที่รับชมการอภิปรายรวมถึงกระตุ้นอารมณ์ของสส.ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ได้แก่
1.ร้อง ‘กี้’ ก่อนจะประท้วงได้ไหม+ประท้วงตามสัญญาว่าจ้างข้อไหน
ในช่วงที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายตอนหนึ่งถึงกรณีการโอนหุ้นของ น.ส.แพทองธาร และการแจ้งบัญชีทรัพย์สินมีหนี้เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว PN) กว่า 4.4 พันล้านบาท ส่อเข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษี ใช้เป็นเครื่องมือทำนิติกรรมอำพราง ในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินหรือไม่ โดยระหว่างการอภิปราย มี สส.พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงหลายครั้ง จนกระทั่งนางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.พรรคเพื่อไทย กล่าวประท้วง นายวิโรจน์ กล่าวว่า “ร้องกี้ก่อนได้ไหมครับ” นางนุชนาถ โต้กลับว่า “ท่านวิโรจน์ ไม่รู้สี่รู้แปด” จากนั้นก็เป็นการตอบโต้กันไปมาจนกระทั่งนายวิโรจน์ กล่าวว่า “ประท้วงตามสัญญาว่าจ้างข้อไหน” นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาให้นายวิโรจน์ถอนคำพูดว่าสัญญาว่าจ้าง นายวิโรจน์ กล่าวว่า “ถอนก็ได้ครับ แต่ว่าก่อนประท้วงช่วยร้อง กี้กี้ สักสองครั้งได้ไหมครับ”
2.นายกฯตอบ ‘ประวิตร’ จับเวลาด้วยนาฬิกาตนเอง + โต้ ‘วิโรจน์’ ดิฉันมั่นใจว่าจ่ายภาษีมากกว่าท่าน
-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายนายกฯในประเด็นดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจผิดพลาดล้มเหลวและยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
โดยนายกฯ กล่าวชี้แจงว่า “ดิฉันจับเวลาด้วยนาฬิกาตัวเอง ท่านพูดประมาณ 10 นาที อยากจะบอกว่าที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดเมื่อสักครู่ไม่เป็นความจริง” เป็นการแฝงนัยยะถึงพล.อ.ประวิตรที่มีประเด็น ‘ยืมนาฬิกาเพื่อน’ และตอบคำถามแบบที่สมัย พล.อ.ประวิตร เป็นรองนายกรัฐมนตรี ตอบฝ่ายค้านเมื่อถูกอภิปราย “สิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมดไม่เป็นความจริง”
-หลังจากที่นายวิโรจน์อภิปรายประเด็นโอนหุ้นของน.ส.แพทองธารเข้าข่ายเลี่ยงภาษี น.ส.แพทองธารได้กล่าวชี้แจง โดยข้อความส่วนหนึ่งขณะชี้แจงระบุว่า "...ดิฉันมั่นใจว่าแม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ดิฉันมั่นใจว่าเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่าน..." ซึ่งนายทักษิณ ก็เคยพูดประโยคเช่นนี้มาก่อนในการขึ้นปราศรัยบนเวทีบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี เมื่อ 9 มี.ค. 2549 ว่า “ผมเป็นนายกฯที่ทำมาหากินสุจริต เอะอะอะไรก็บอกว่าไม่เสียภาษี ผมเสียภาษีเยอะกว่าพวกมันรวมกันทั้งประเทศอีก” (อ้างอิงจาก mgronline.com)
3.ประท้วงวุ่นจน ‘พิเชษฐ์’ สั่งปิดสไลด์+ตัดเวลาอภิปรายประเด็น IO
นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กรณีใช้ปฏิบัติการข่าวสาร (ไอโอ) กับประชาชน คนที่เป็นเป้าหมายกองทัพจะถูกติดตาม สอดแนม และขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัวหาจุดอ่อนเพื่อใช้เป็นข้อมูลด้านมืด เพื่อใช้โจมตีกลุ่มเป้าหมาย เช่น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย น.ส.พรรณิการ์ วานิช นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แกนนำคณะก้าวหน้า ซึ่งถูกติดตามก่อนการเลือกตั้ง ทำให้เห็นว่ากองทัพไทยตั้งใจใช้ไอโอแทรกแซงช่วงเลือกตั้งที่ชัดเจน ซึ่งผิดกฎหมาย และไม่เกี่ยวกับการปกป้องสถาบัน
โดยในระหว่างการอภิปรายนายชยพล ถูกประท้วงเรื่องการแสดงเอกสารที่นำมาประกอบมีลักษณะตัดแปะและกล่าวอ้างถึงสถาบันโดยไม่จำเป็น จากนั้นมีการประท้วงหลายครั้งจนกระทั่งนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วินิจฉัยให้นายชยพล อภิปรายต่อได้เพียง 10 นาที โดยห้ามขึ้นภาพสไลด์ ทำให้ สส.พรรคประชาชนยินยอมตามเงื่อนไข และดำเนินการอภิปรายต่อจนจบ
@ ดาวเด่น-ดาวดับ
มาต่อกันที่หัวข้อ ‘ดาวเด่น-ดาวดับ’ ในศึกซักฟอกครั้งนี้ ที่มีการอภิปรายในหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยบุคคลที่มีความโดดเด่น จนเป็น ‘ดาวเด่น’ ได้แก่
1.นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน-ดาวเด่นเพราะ ‘กีกี้’
นายวิโรจน์ อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯในประเด็นร้อน คือ กรณีการโอนหุ้นของ น.ส.แพทองธาร ที่สำนักข่าวอิศราติดตามและนำเสนอข้อมูลมาโดยตลอด และเป็นเจ้าของวลี ‘กีกี้’ ที่หลังกล่าวไปในช่วงที่ถูกประท้วง มีประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจไปสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม จนพบว่า ‘กีกี้’ เป็นเสียงร้องของลูกสมุนวายร้ายขบวนการช็อกเกอร์ในซีรีย์คาเมนไรเดอร์
2.นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2-ดาวเด่นลกขึ้นยืนยุติการประท้วง
หลังจากที่ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯไปได้สักพักใหญ่ โดยในช่วงที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชี้แจงประเด็นที่ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวอภิปรายกรณีผลักดันชาวอุยกูร์ 40 คน กลับประเทศจีน เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2568
ช่วงหนึ่ง นายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ สส.พรรคประชาชน ก็ได้ลุกขึ้นทักท้วงการอภิปรายของนายภูมิธรรมว่าใช้คำเสียดสี โดยนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาคนที่ 2 ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุม ได้วินิจฉัยว่า การอภิปรายของฝ่ายค้าน ก็ใช้คำที่เสียดสีในบางคำ ซึ่งก็ทำให้ทางฝั่งรัฐบาลมีการใช้คำที่เสียดสีบ้าง จึงขอความกรุณารัฐมนตรี ว่าเป็นผู้ใหญ่ให้ชี้แจงด้วยความสุขุมรอบคอบ
นายภูมิธรรมโต้กลับว่า “จะพยายามอย่างดีที่สุด เพราะตนเองก็ไม่เคยใช้คำว่า ‘กีกี้’ แทนสตรี อย่างที่ฝ่ายค้านได้พูด ซึ่งเป็นคำที่หยาบคายหยาบโลน สกปรก”
นายปกรณ์วุฒิ ชี้แจงว่าคำดังกล่าวไม่ได้มีความหมายหยาบโลน จึงขอให้นายภูมิธรรมถอนว่าเป็นคำพูดหยาบโลน
จนนำไปสู่การโต้เถียงในห้องประชุม นายภราดร ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมขณะนั้นลุกขึ้นยืนบนบัลลังก์เพื่อยุติความวุ่นวาย ตามอำนาจในข้อบังคับการประชุมสภาฯ พร้อมกล่าวว่า "ประชาชนอยากติดตามการอภิปรายของนายกฯ ไม่ใช่การประท้วงไปมา ขออย่าให้เรื่องไร้สาระมารกสภาแห่งนี้"
3.นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. พรรคประชาชน-ดาวเด่นเปิดประเด็นได้ที่ดินส่อผิดกฎหมาย
นายธีรัจชัย กล่าวอภิปรายในประเด็นการได้มาที่ดินของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ของนายกฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยระบุว่า “...นายกฯและคนในครอบครัวเป็นเจ้าของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ฯ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ซึ่งตามกฎหมายไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์และออกโฉนดไม่ได้ 10 กว่าปีที่ผ่านมานายกฯ เป็นเจ้าของและผู้บริหารโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ออกโฉนดไม่ได้…”
เมื่อมี ‘ดาวเด่น’ ไปแล้วก็ต้องมี ‘ดาวดับ’ โดยการจะเป็นดาวดับได้ก็ต้องมีเงื่อนไขหลายอย่าง เช่น ไม่ถูกกล่าวถึงหลังจากอภิปรายไปแล้ว มีพฤติกรรม(ในทางลบ) ที่น่าสนใจ เป็นต้น โดย ‘ดาวดับ’ ได้แก่
1.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ-ดับเพราะทำไม่ถึง
โดยก่อนหน้าหลายวันที่จะถึงการอภิปราย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทยก็ได้กล่าวถึง พล.อ.ประวิตรว่าอาจจะเป็นดาวเด่นของศึกซักฟอกครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่คาดกับความเป็นจริงสวนทางกัน เพราะพล.อ.ประวิตร ไม่ได้ใช้เวลาอภิปรายนานนักและไม่ได้เป็นที่สนใจของประชาชนตามที่คาดไว้ จนพล.อ.ประวิตร กลายเป็น ‘ดาวดับ’ ดวงแรก
2.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์-ดับเพราะพฤติกรรม
โดยนายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน อภิปรายถึงการตั้งบุคคลที่ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี ซึ่งก็คือ นายสุชาติ เนื่องจากในยุครัฐบาลประยุทธ์ นายสุชาติ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แล้วมีประวัติพัวพันคดีค้ามนุษย์แรงงานไทยไปเก็บเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์และสวีเดน
นายสุชาติ กล่าวว่า “ผมจะกลับบ้านแล้ว แต่มานั่งฟังละครน้ำเน่า ไหนคนที่พูดอยู่ไหนให้นั่งด้วย ขอให้นั่งฟัง ให้หันหน้ามาด้วย” โดยระหว่างที่พูดนายสุชาติก็ชี้นิ้วไปด้วย ทำให้ถูกประท้วงจาก สส.พรรคประชาชนว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา วินิจฉัยว่าถ้าทักท้วงขอให้พูดกับประธานและไม่ต้องชี้หน้า
โดยนายสุชาติ ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับนายกฯ ทั้งนี้กรณีที่ตนเองมีคดีความกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และป.ป.ช. ท่านต้องมีมารยาทอภิปรายในสภา ต้องรู้ญัตติว่าอภิปรายเรื่องอะไร ที่ด่าตนเองชั่วเลว ตนเองเกิดมาไม่เคยเจอ แต่เพิ่งเห็น สส.ชลบุรีชั่วเลวก็วันนี้ ที่ด่าตนเองว่าชั่วเลวยังไม่เคยประท้วงเลย ตนเองไม่เคยอยู่ในกระบวนการค้ามนุษย์และรับเงิน ทั้งนี้ตนเองพร้อมรับการตรวจสอบทั้งหมด ทั้งนี้ที่บอกว่ามีการฟ้องร้องจากแรงงาน พบว่าแรงงานที่ไป 3,900 คน พบคนที่มีปัญหาประมาณ 30 คน จากการสืบสวนของกระทรวงแรงงานในตอนนั้น พบว่าเกิดจากแรงงานใหม่ที่ไปไม่รู้ว่าแหล่งเก็บผลไม้ป่าอยู่ตรงไหน โดยแรงงานใหม่ไปฟ้องร้องตามกฎหมายแรงงานที่ฟินแลนด์ อย่างไรก็ดีคนที่ไปทำงานต้องมีสัญญา อย่าโง่ อย่างไรก็ดีโควตาการส่งแรงงานไทยไปเก็บผลไม้ป่าออกโดยสถานทูตฟินแลนด์ โดยกระทรวงแรงงานเป็นแค่ตัวกลางเพื่อป้องกันการแรงงานไทยกลับมาแล้วเป็นหนี้เท่านั้น
“ทั้งนี้ที่บอกว่าผมเลว ผมชั่ว ผมไม่เคยเห็น สส.ชลบุรีเลวเท่า ไอ้ห่า ขอโทษที ผมอาจจะพูดจาไม่เพราะ ขออภัย” นายสุชาติ กล่าว
โดยระหว่างการชี้แจงที่นายสุชาติหลุดคำพูดว่า ไอ้ห่านั้น สส.พรรคประชาชนประท้วงและให้ถอนคำพูด ซึ่งนายสุชาติ ถอนคำพูดดังกล่าว
แม้จะมีการขอโทษประธานและถอนคำพูดแล้ว แต่ก็ทำให้นายสุชาติ กลายเป็นดาวดับเพราะพฤติกรรมและการใช้คำพูดของตนเอง
3.นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม-ดับ (ดิ้น) เพราะ ‘กีกี้’
กรณีของนายภูมิธรรม เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดดาวเด่นอย่างนายภราดรและก็ทำให้นายภูมิธรรมเป็นดาวดับเนื่องจากเข้าใจความหมายของ ‘กีกี้’ ผิด เพราะเสิร์ช google เจอความหมายอื่นของ ‘กีกี้’ จนทำให้ประชาชนที่ชมถ่ายทอดสดการประชุมฯ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนายภูมิธรรมมากมายส่วนใหญ่มีใจความประมาณว่า 'นายภูมิธรรมไปเสิร์ช google อย่างไรทำไมถึงไม่เจอ 'กีกี้' ของขบวนการช็อกเกอร์' และทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนในสังคมบางกลุ่มว่า อาจเป็นเพราะช่วง Generation ที่แตกต่างกัน และความเชื่อส่วนบุคคลของนายภูมิธรรม ที่ทำให้นายภูมิธรรมเข้าใจความหมาย 'กีกี้' ไม่ตรงกับความหมาย 'กีกี้' ที่ฝ่ายค้านต้องการใช้สื่อสาร
เหล่านี้คือคะแนนของนายกฯแพทองธาร และสีสันจากศึกซักฟอกอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี