"... ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา กสทช. ได้ศึกษาแนวทางการกำกับดูแล OTT และจัดทำร่างข้อกำหนดขึ้นเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2566 แต่จนถึงปัจจุบัน ร่างดังกล่าวยังไม่ถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุม กสทช. ทำให้ OTT สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยไม่มีข้อบังคับใดๆ..."
จากกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ ในคดีถูกบริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ฟ้องร้องในข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ปมออกหนังสือเตือนทีวีดิจิทัลมีโฆษณาแทรก เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา
ต่อมา ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง จะยื่นขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยศาลให้ประกันตัว ด้วยหลักประกันวงเงิน 1.2 แสนบาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
เป็นประเด็นที่สังคมจับตามอง พร้อมตั้งข้อสังเกต รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่เกิดขึ้นในแวดวงสื่อ
เมื่อวันที่ 7 ก.พ 2568 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงานเสวนาในหัวข้อ 'พิรงรอง Effect' ทิศทางกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้ โดย รศ.ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ได้อ่านแถลงการณ์คณะนิเทศศาสตร์เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุน ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต ในการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช.ก่อนเริ่มการเสวนา
ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เปิดเผยว่า ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สังคมไทยจับตามองคดีหนึ่งที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรง สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของกฎหมายในการจัดการข้อพิพาท และแนวทางในการแสวงหาความยุติธรรม ซึ่งหลักการสำคัญของกฎหมาย โดยอัญเชิญแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งพระราชทานไว้เกี่ยวกับบทบาทของกฎหมายว่า กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาความยุติธรรม มิใช่ตัวความยุติธรรมโดยแท้
ศ.พิเศษ ธงทอง กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ บริบท และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ตีความตัวบทตามอักษรเพียงอย่างเดียว หากยึดติดเพียงตัวหนังสือโดยไม่คำนึงถึงสาระสำคัญ อาจทำให้ความยุติธรรมหล่นหายไป
"หลายกรณีที่มีการนำคดีขึ้นสู่ศาล ไม่ได้มีเป้าหมายแค่แพ้หรือชนะ แต่ยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ ที่แฝงอยู่ เช่น การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน หรือผลกระทบทางสังคม นักกฎหมายต้องระวังอย่าให้ตัวเองเป็นเพียงกลไกในการดำเนินคดีที่เบี่ยงเบนจากเส้นทางของความยุติธรรม" ศ.พิเศษ ธงทอง กล่าว
ศ.พิเศษ ธงทอง ยังให้ความเห็นด้วยว่า การฟ้องร้องหลาย ๆ คดีผู้นำคดีขึ้นสู่ศาลนอกจากจะหวังผลการแพ้ชนะแล้ว ยังหวังผลข้างเคียงจากการพิจารณา นักกฎหมายไม่ควรตีความเฉพาะตัวบทกฎหมาย แต่ต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงและบริบทเพราะการพิจารณาข้อพิพาทต่างๆ เป็นการแสวงหาความยุติธรรม ดังนั้นต้องไม่ตีความไปในทางที่จะทำให้ตกเป็นเครื่องมือของการแสวงหาประโยชน์ข้างเคียงของการพิจารณาคดี
ทางด้าน นายระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจ OTT (Over-the-Top) หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น YouTube, Netflix และ Prime Video กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่กฎหมายไทยยังไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งในแง่ของการแข่งขันทางธุรกิจและการควบคุมเนื้อหาภายในประเทศ
นายระวี กล่าวอธิบายถึง ข้อแตกต่าง ระหว่าง OTT และ IPTV (Internet Protocol Television) ซึ่งเป็นบริการส่งสัญญาณภาพและเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีกฎหมายรองรับ แต่ OTT นั้นพัฒนามาไกลเกินกว่าที่กฎหมายเดิมจะควบคุมได้
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา กสทช. ได้ศึกษาแนวทางการกำกับดูแล OTT และจัดทำร่างข้อกำหนดขึ้นเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2566 แต่จนถึงปัจจุบัน ร่างดังกล่าวยังไม่ถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุม กสทช. ทำให้ OTT สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยไม่มีข้อบังคับใดๆ
นายระวี สะท้อนถึงปัญหาสำคัญของ OTT ว่า ไม่มีการจดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งหมายความว่าหน่วยงานรัฐไม่มีอำนาจกำกับดูแลโดยตรง ทั้งในเรื่องของเนื้อหาและโฆษณา แตกต่างจากประเทศอื่น เช่น อังกฤษ และออสเตรเลีย ที่มีกลไกปรับดูแลตามบริบททางวัฒนธรรมของประเทศตนเอง การปล่อยให้ OTT เติบโตแบบไร้การกำกับดูแลนี้ ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจทีวีดิจิทัลอย่างหนัก
นายระวี กล่าวด้วยว่า หนึ่งในผลกระทบสำคัญ คือ ทีวีดิจิทัลที่กำลังรอการต่อสัญญาในปี 2572 ซึ่งต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับการประมูลใหม่ในปี 2570 อย่างไรก็ตาม เจ้าของช่องโทรทัศน์ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีแนวทางดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างไร เนื่องจาก OTT ดึงเม็ดเงินโฆษณาออกจากโทรทัศน์แบบดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง
ค่าโฆษณาบน OTT มีราคาถูกกว่า ทำให้ธุรกิจต่างๆ หันไปลงโฆษณากับแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ผลที่ตามมาคือ รายได้ของทีวีดิจิทัลลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจถึงขั้นไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน และหากไม่มีมาตรการรองรับ อุตสาหกรรมสื่อดั้งเดิมของไทยอาจถึงจุดล่มสลาย
"กสทช. จะเริ่มกำกับดูแล OTT กี่โมง และแนวทางที่ชัดเจนจะเกิดขึ้นเมื่อไร เพราะหากยังคงปล่อยให้ธุรกิจ OTT เติบโตโดยไม่มีมาตรการควบคุม ขณะที่ทีวีดิจิทัลยังติดอยู่กับกรอบกฎหมายเดิม ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสื่อสารมวลชนไทยอาจรุนแรงกว่าที่คาดการณ์" นายระวี กล่าว
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช.และ ผู้ร่วมก่อตั้ง Co-fact Thailand กล่าวว่า จุดหมายของเรื่องดร.พิรงรอง คือ การคุ้มครองผู้บริโภค การกำกับดูแล OTT เป็นเรื่องที่ควรทำมานานตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว แต่มีความล่าช้าการเป็นแบบนี้ใช่การละเว้นการปฎิบัติหน้าที่หรือไม่ ถ้ายังไม่มีตอนนี้จะกระทบอุตสาหกรรมทีวี ความพยายามกำกับดูแล OTT ของ ดร.พิรงรองทำให้อาจารย์ต้องได้รับผลกระทบเช่นนี้
จากกรณีที่เกิดขึ้นไม่เพียงสร้างแรงกระเพื่อมในเชิงสิทธิและความเป็นส่วนตัว แต่ยังเปิดโปงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรม กสทช. และอนาคตของอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคมไทย
คำพิพากษาที่เกิดขึ้นกระตุ้นให้สังคมตั้งคำถามถึงหลักนิติธรรม (Rule of Law) และมาตรฐานความยุติธรรมในระบบกฎหมายไทย นักกฎหมายหลายฝ่ายมองว่า คดีนี้ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการถกเถียงเชิงโครงสร้าง เพื่อให้เกิดการปฏิรูปที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงการปล่อยให้เป็นกระแสชั่วคราวแล้วจางหายไป
น.ส.สุภิญญา กล่าวอีกว่า อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ คือ บทบาทของ กสทช. ที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนักเรื่องความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและสื่อ
การที่สังคมตื่นตัวกับบทบาทขององค์กรนี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะ กสทช. ถูกวิพากษ์วิจารณ์มานานเรื่องธรรมาภิบาลและการดำเนินงานที่ไม่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล กรณีนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาต้องมีการตรวจสอบและปรับปรุงบทบาทขององค์กรกำกับดูแลนี้อย่างจริงจัง
น.ส.สุภิญญา กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน อนาคตของอุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคมไทยก็กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ ธุรกิจโทรทัศน์แบบดั้งเดิมกำลังถูกแทนที่ด้วยแพลตฟอร์ม OTT และ Streaming Online แต่ยังไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจน ขณะที่โครงสร้างโทรคมนาคมของประเทศต้องเร่งพัฒนาให้ทันต่อยุค 5G, 6G และ AI ซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล หากยังปล่อยให้เกิดความล่าช้าและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ประเทศไทยอาจเสียโอกาสครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้
“ จุดหมายของเรื่องดร.พิรงรอง คือ การคุ้มครองผู้บริโภค การกำกับดูแล OTT เป็นเรื่องที่ควรทำมานานตั้งแต่ 5ปีที่แล้ว แต่มีความล่าช้าการเป็นแบบนี้ใช่การละเว้นการปฎิบัติหน้าที่หรือไม่ ถ้ายังไม่มีตอนนี้จะกระทบอุตสาหกรรมทีวี ความพยายามกำกับดูแล OTT ของดร.พิรงรองทำให้อาจารย์ต้องได้รับผลกระทบเช่นนี้ ”
"แม้ว่ากระแสคดีของ กสทช.พิรงรอง จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง แต่เกมนี้ยังไม่จบ ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเกิดขึ้นจากการติดตามและกดดันให้มีการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม การต่อสู้ครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้น และจะเป็นบทพิสูจน์สำคัญของความเป็นธรรมและอนาคตของสื่อสารมวลชนไทย" น.ส.สุภิญญา กล่าว
ทางด้าน รศ.ดร.ณรงค์เดช สรโฆษิต อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นคดีที่ผิดปกติจากแนวทางปกติที่ควรเป็นเรื่องของศาลปกครอง แต่ยังเปิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับกลไกทางกฎหมายและการใช้อำนาจรัฐ
โดยปกติ หากเห็นว่าคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนสามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายได้หลายช่องทาง เช่น การอุทธรณ์ภายในหน่วยงาน การฟ้องศาลปกครองเพื่อเพิกถอนคำสั่ง หรือการเรียกค่าเสียหายจากรัฐ แต่ในกรณีนี้กลับถูกดำเนินคดีในศาลอาญา ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่พบได้บ่อย ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการและวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของคดี
รศ.ดร.ณรงค์เดช กล่าวถึงข้อสังเกตสำคัญในคดีนี้ ว่า คดีนี้ฟ้องร้องตัว กสทช. ในขณะที่ผู้มีอำนาจเซ็นจดหมายหรือเป็นผู้สั่งการจริงๆ กลับไม่มีความชัดเจนว่าควรเป็นผู้รับผิดหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้เกิดความแปลกประหลาดในทางกฎหมาย เพราะตามหลักความรับผิดทางอาญา ผู้ที่ออกคำสั่งและลงนามในเอกสารทางราชการควรเป็นผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง แต่คดีนี้กลับมุ่งเป้าไปที่องค์กรกำกับดูแล ทำให้เกิดข้อกังขาว่าอาจเป็นแนวทางใหม่ในการข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐให้ไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่
ในส่วนผลกระทบ รศ.ดร.ณรงค์เดช กล่าวว่า อาจส่งผลไกลกว่า กสทช. เพราะในอนาคตเจ้าหน้าที่รัฐอาจลังเลที่จะดำเนินงานด้านกำกับดูแลที่กระทบต่อกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ หากความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องมีมากขึ้น เช่น หน่วยงานที่ควบคุมมลพิษอาจหลีกเลี่ยงการเอาผิดโรงงานที่ปล่อยสารพิษ หรือเจ้าหน้าที่กำกับดูแลสื่ออาจไม่กล้าออกมาตรการควบคุมโฆษณาที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค
“กรณีที่เกิดขึ้น สร้างผลกระทบให้เจ้าหน้าที่รัฐอาจคิดว่า อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ปล่อยเกียร์ว่างเรื่องไหนเสี่ยงอย่าไปทำ อยู่เฉยๆอย่าไปทำเดี๋ยวถูกฟ้อง เรามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชน เราจะอยู่อย่างไรถ้าเจ้สหน้าที่ไม่คุ้มครองประชาชนเพราะกลัวว่าจะมีความผิด เรื่องนี้มันมีอยู่แล้วแต่มันจะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น” รศ.ดร.ณรงค์เดช กล่าว
ทั้งหมดนี้ คือความคิดเห็นจากหลายภาคส่วนบนเวทีเสวนาฯ ต้องติดตามกันต่อไปว่า กสทช.ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลสื่อฯ จะมีแนวทางดำเนินการอย่างไรเพื่อประโยชน์ที่รัดกุมสำหรับประชาชน