"....ที่ประชุมคณะกรรมการ กทท. ในการประชุมครั้งที่ 8/2554 เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2554 ได้ร่วมกันพิจารณามีมติอนุมัติให้ตั้งงบประมาณดังกล่าวตามที่เสนอ โดยไม่ปรากฏว่าได้มีการรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการ กทท. ให้ทราบถึงการหารือเรื่องดังกล่าวต่อคณะกรรมการกลั่นกรองงานด้านกฎหมายของคณะกรรมการ กทท. ซึ่งอัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักอัยการสูงสุด กรรมการ ไม่เห็นด้วยกับการเสียเงินจ้างทนายความที่ปรึกษาซึ่งเป็นบุคคลภายนอก..."
กรณี นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และเรือเอก อิทธิชัย สุพรรณกูล นักบริหาร 16 ประจำผู้อำนวยการ กทท. ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดทางอาญา และวินัยร้ายแรง ในคดีกล่าวหาทุจริตการจัดจ้างที่ปรึกษากฎหมายช่วยงานแก้ต่างคดีแรงงาน กรณีมีการเรียกเงินค่าล่วงเวลาจาก กทท.นั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสำนวนไต่สวนคดีแล้วมีมติเห็นว่า การกระทำของนายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม และเรือเอก อิทธิชัย สุพรรณกูล นักบริหาร มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไข เพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ขณะที่การชี้มูลความผิดดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการอนุมัติจ้างเอกชนรายหนึ่งเข้ามาเป็นที่ปรึกษาช่วยงานแก้ต่างคดีแรงงานโดยวิธีตกลง ตามสัญญาเลขที่ จ.112/2554 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2554 วงเงิน 19,967,826.40 บาท ซึ่งมีลักษณะการเอื้อประโยชน์ และเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่ กทท.
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดฉบับเต็ม มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีนี้ ที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบล่าสุุด
หนึ่ง.
สำนักงาน ป.ป.ช. ระบุเรื่องทางการว่า เป็นคดีกล่าวหา นายชลอ คชรัตน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กับพวก ทุจริตการจัดจ้างที่ปรึกษากฎหมายช่วยงานแก้ต่างคดีแรงงาน
สอง.
พฤติการณ์มีรายละเอียดระบุว่า เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2554 เรือเอก อิทธิชัย สุพรรณกูล นักบริหาร 16 ประจำผู้อำนวยการ กทท. ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของกองกฎหมาย ได้เสนอเรื่องให้นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ลงนามในบันทึกอนุมัติตั้งงบประมาณทำการประจำปีงบประมาณ 2555 เพิ่มเติม เพื่อใช้ในการจัดจ้างที่ปรึกษาช่วยงานแก้ต่างคดีแรงงาน กรณีมีการเรียกเงินค่าล่วงเวลาจาก กทท. วงเงินงบประมาณ 19,967,826.40 บาท โดยสืบราคาจากบริษัท เอส.กรุ๊ป แมนเนจเม้นท์แอนด์ ลอว์ จำกัด ทั้งที่คดีแพ่งจำนวน 234 คดี ที่พนักงานและอดีตพนักงานกทท. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กทท.เป็นจำเลยต่อศาลแรงงาน เพื่อเรียกค่าล่วงเวลา (โอที) ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลา (โอที) ในวันหยุด เป็นกรณีที่รัฐวิสาหกิจถูกเอกชนฟ้องคดีแพ่ง ซึ่ง กกท. ต้องส่งเรื่องให้พนักงานอัยการที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการ จึงไม่มีเหตุผลและความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องจัดจ้างที่ปรึกษา
ต่อมาที่ประชุมคณะกรรมการ กทท. ในการประชุมครั้งที่ 8/2554 เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2554 ประกอบด้วย นายชลอ คชรัตน์ ประธานกรรมการ พลเรือเอก สีวิชัย สิริสาลี นางฉวีวรรณ คงเจริญกิจกุล นายไพศาล พวงเงิน พันเอก ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท นายพลฑิตย์ ภุกพิบูลย์ และนางสุนิดา สกุลรัตนะ กรรมการ ได้ร่วมกันพิจารณามีมติอนุมัติให้ตั้งงบประมาณดังกล่าวตามที่เสนอ
โดยไม่ปรากฏว่าได้มีการรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการ กทท. ให้ทราบถึงการหารือเรื่องดังกล่าวต่อคณะกรรมการกลั่นกรองงานด้านกฎหมายของคณะกรรมการ กทท. ซึ่งอัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักอัยการสูงสุด กรรมการ ไม่เห็นด้วยกับการเสียเงินจ้างทนายความที่ปรึกษาซึ่งเป็นบุคคลภายนอก
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกรณีการเรียกเงินค่าล่วงเวลาจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้มีคำสั่งคณะทำงานฯ ที่ 1/2554 ลงวันที่ 15 ส.ค. 2554 มอบหมายทนายความประจำบริษัท เอส. กรุ๊ป แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ลอว์ จำกัด ซึ่งเป็นเอกชนและบุคคลภายนอก เป็นผู้กระทำการตามอำนาจหน้าที่ของคณะทำงานฯ ทั้งที่ยังไม่มีงบประมาณและไม่ได้ดำเนินการจัดจ้างตามระเบียบ
ต่อมา นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการ กทท. ได้อนุมัติดำเนินการจ้างที่ปรึกษาช่วยงานแก้ต่างคดีแรงงาน โดยวิธีตกลง และอนุมัติจ้างบริษัท เอส.กรุ๊ป แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ลอว์ จำกัด ตามสัญญาเลขที่ จ.112/2554 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2554 วงเงิน 19,967,826.40 บาท
การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่ กทท. และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท เอส.กรุ๊ป แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ลอว์ จำกัด เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สาม.
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนคดี มีดังนี้
1. การกระทำของ นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม และเรือเอก อิทธิชัย สุพรรณกูล นักบริหาร 16 ประจำผู้อำนวยการ กทท. มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
2. การกระทำของบริษัท เอส.กรุ๊ป แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ลอว์ จำกัด และเอกชนที่เกี่ยวข้อง มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด
3. การกระทำของนายชลอ คชรัตน์ พลเรือเอก สีวิชัย สิริสาลี นางฉวีวรรณ คงเจริญกิจกุล นายไพศาล พวงเงิน พันเอก ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท นายพลฑิตย์ ภุกพิบูลย์ และนางสุนิดา สกุลรัตนะ ในฐานะคณะกรรมการ กทท. จากการไต่สวน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่าได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
สี่.
ในส่วนการดำเนินการทางอาญาและวินัยนั้น
คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นควรให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1)
ส่วนการดำเนินการทางวินัย ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (2) และมาตรา 98
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ มีสิทธิ์ในการตอ่สู้คดีจนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
********
ทั้งหมดนี้ คือ รายละเอียดฉบับเต็ม มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีนี้เป็นทางการ ที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบล่าสุุด
แต่ปัจจุบันยังไม่มีรายงานข่าวยืนยันว่าคดีนี้ เข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดีในชั้นศาลไปแล้วหรือไม่ ผลการตัดสินคดีเป็นอย่างไร
หากมีข้อมูลเพิ่มเติม สำนักข่าวอิศรา จะรีบนำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป