“...หากย้อนตำนานนักการเมืองที่ยอมกลืนเลือด-กลับคำพูดตัวเอง เพื่อไปรับตำแหน่งแห่งหน-เข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจ คือ ‘บิ๊กสุ’ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตผบ.ทบ. เจ้าตำรับวาทะอันลือลั่น ‘เสียสัตย์เพื่อชาติ’...”
กลายเป็นกระแสดรามาทันควัน!
หลังจาก ‘แพทองธาร ชินวัตร’ สะบัดปากกา-ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ เป็น ‘ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี’ เมื่อวันที่ 4 ต.ค.67 ชนิดปิดลับ
ทันใดนั้น ‘อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย’ กลายเป็น ‘ตำบลกระสุนตก’ มีการขุด-คุ้ย-ค้น ‘ดิจิทัลฟุตปริ๊น’ ขึ้นมาหลอกหลอน พร้อมกับวาทะกรรมตีตรา ‘ตะบัดสัตย์’
เพราะเจ้าตัวเคยลั่นวาจา ‘ยุติบทบาท’ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ไม่ข้องแวะกับกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลที่มี ‘พรรคทหาร’ อย่างรวมไทยสร้างชาติ-พรรคพลังประชารัฐเป็น ‘พรรคร่วมรัฐบาล’
ปฐมเหตุจากวิบากกรรมเมื่อครั้งพรรคเพื่อไทยเคยให้คำมั่น-สัญญากับแฟนคลับ-โหวตเตอร์ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 66 ว่า จะไม่จับมือกับ ‘พรรคสองลุง’ จัดตั้งรัฐบาล ทว่าพรรคเพื่อไทยกลับพลิกคำพูดตัวเองไปจัดตั้ง ‘รัฐบาลผสมข้ามขั้ว’
หากย้อนตำนานนักการเมืองที่ยอมกลืนเลือด-คืนคำพูดตัวเอง เพื่อไปรับตำแหน่งแห่งหนทางการเมือง-เข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีหลายคน
ที่เป็นเจ้าตำรับ คือ ‘บิ๊กสุ’ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่มาพร้อมกับวาทะอันลือลั่น ‘เสียสัตย์เพื่อชาติ’ เป็นข้ออ้างมารับเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 19 แห่งประเทศไทย
@ พล.อ.สุจินดา คราประยูร
‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนนำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง 66 กล่าวคำใหญ่ต่อหน้า ‘พลพรรคสีฟ้า’ ระหว่างงานสัมมนา ‘รวมพลัง 30 เลือดใหม่ ทวงคืนปักษ์ใต้’ ที่จังหวัดสงขลา หากการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้ต่ำกว่า 52 ที่นั่ง จะ ‘เลิกเล่นการเมืองทั้งชีวิต’ ซึ่งหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ สส.เพียง 25 ที่นั่ง ต่ำที่สุดในรอบ 65 ปี ! (เลือกตั้งปี 2501 ได้ สส.13 ที่นั่ง)
ผลจากการพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้ง ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์’ ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคพ้นทั้งคณะ แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.66 ที่ประชุมใหญ่ของพรรค มีมติเห็นชอบให้นายเฉลิมชัยเป็น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9 โดยนายเฉลิมชัยให้เหตุผลคอขาดบาดตายจนต้องยอมรับตำแหน่งทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยพูดไว้ว่าจะเลิกเล่นการเมืองทั้งชีวิต ว่าเพื่อรักษาพรรคเอาไว้ ไม่ให้ ‘พรรคแตก’
ล่าสุดในการจัดตั้ง ‘รัฐบาลแพทองธาร’ พรรคประชาธิปัตย์ได้มีมติเข้าร่วมรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ-ปิดตำนาน 23 ปี ‘พรรคคู่กัด’ ทางการเมืองตั้งแต่พรรคไทยรักไทย โดยนายเฉลิมชัยยังมาดำรงตำแหน่งใน ‘ครม.แพทองธาร1’ ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
‘เนวิน ชิดชอบ’ ผู้มีบารมีนอกพรรคภูมิใจไทย ที่เคยสะบั้นความสัมพันธ์ลูกน้อง-เจ้านาย แยกทาง กับ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ แต่กลับมา ‘จูบปาก’ เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าในวันเกิด 66 ปี ของนายเนวิน ปิดตำนานเสียงเล่าขานวรรคทอง ‘มันจบแล้วครับนาย’
@ เนวิน ชิดชอบ
อีก 1 ตำนาน คือ ลุงกำนัน-สุเทพ เทือกสุบรรณ ‘อดีตผู้จัดการรัฐบาล’ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการกปปส. ที่เคย ‘ปาดน้ำตา’ ยอมลืมคำ ร่วมเป็นผู้ก่อตั้ง ‘พรรคพสกนิกร’ อย่าง ‘รวมพลังประชาชาติไทย’ และเข้าร่วมรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ในเวลาต่อไป
@ สุเทพ เทือกสุบรรณ
“ผมไม่ใช่คนที่จะอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองนี้ แต่ผมจะยืนเคียงข้างกับพี่น้องประชาชน ผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน ผมไม่สนใจคำวิจารณ์ เพราะผมไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ผมขออาสาเป็นขี้ข้าประชาชน ผมจะเดินไปหาพี่น้องประชาชนทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย”นายสุเทพกล่าวในวันเปิดตัวพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่ม.รังสิต เมื่อ 6 ปีที่แล้ว
แม้กระทั่ง ‘วิษณุ เครืองาม’ เนติบริกร 9 นายกรัฐมนตรี ตำแหน่งเสนาบดีล่าสุด คือ รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ ‘นักข่าวทำเนียบ’ ทุกครั้งว่าหลังรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ยุบสภา จะไม่ขอรับตำแหน่งทางการเมืองอีก ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ
แต่ก็ทนเสียงเรียกร้องของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ไม่ได้จนต้องยอมมานั่งเป็น ‘ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี’ ด้วยเหตุผลที่บอกใครไม่ได้
“ลดเกียรติด้วยซ้ำไปจากรองนายกรัฐมนตรีมาเป็นที่ปรึกษา ที่ปรึกษาแบบนี้ สมัยที่ผมเป็นรองนายกรัฐมนตรี ตั้งแบบนี้ที่ปรึกษาแบบนี้เกือบ 10 คน สมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช เรียกว่า ตำแหน่งเทกระโถน”นายวิษณุกล่าวที่ทำเนียบครั้งแรกหลังจากตกปากรับคำ-รับตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี
ถ้าจะเอาให้ถึงที่สุด ก็ต้องนับรวม ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่ ‘ขออนุญาตกลับบ้าน’ เพื่อมา ‘เลี้ยงหลาน’ แต่สุดท้ายก็ยังอยู่วนเวียนอยู่รอบวงโคจรอำนาจทั้งทำเนียบรัฐบาลและที่ทำการพรรคเพื่อไทย จนโดน ‘นักร้อง’ ร้องเรียน ‘ครอบงำ’ และอาจจะเป็นชนวนเหตุให้สุ่มเสี่ยงเพื่อไทยโดน ‘ยุบพรรค’ ซ้ำรอย 3 ‘พรรคตระกูลชินวัตร’ ทั้ง พรรคไทยรักไทย-พรรคพลังประชาชน-พรรคไทยรักษาชาติ
@ ทักษิณ ชินวัตร
นอกจากการกลับคำ-กลับลำในระดับ ‘ปัจเจกบุคคล’ แล้ว ผลพวงจากสถานการณ์พลิกผัน-บริบททางการเมืองผันผวน เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิด 360 องศา ทำให้นักการเมืองต้องยอมจำนน-จำใจประกาศลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเอง
‘หมอชลน่าน’ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ต้องสังเวยตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อพรรคเพื่อไทย ‘ฉีกเอ็มโอยู’ จัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลไปจัดตั้งรัฐบาลกับ ‘พรรคลุงตู่’ และ ‘พรรคลุงป้อม’ แต่หมอชลน่านก็ยังมีตำแหน่งเป็นรมว.สาธารณสุขใน ‘ครม.เศรษฐา 1’ แต่สุดท้ายก็โดนปรับออกจากครม.เศรษฐา 1/1
เหล่านี้ คือ ข้อมูลเกี่ยวกับนักการเมืองดังของไทย ที่ยอมกลืนเลือด-คืนคำพูดตัวเอง เพื่อไปรับตำแหน่งแห่งหนทางการเมือง-เข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่สำนักข่าวอิศรา พอจะรวบรวมมาได้
นับเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาสำคัญ ที่ควรบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ที่ว่าด้วยสัจธรรมทางการเมือง "ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร"