"...กีฬามวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้และเป็นวัฒนธรรมประจําชาติไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ควรที่คนไทยจะต้องรักษา หวงแหน และปกป้องกีฬามวยไทยให้เป็นเอกลักษณ์ของชาติสืบไป การที่จําเลยที่ 1 ติดต่อเสนอให้เงินแก่จําเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนักมวยที่จะขึ้นแข่งขัน จํานวน 150,000 บาท เพื่อจูงใจให้จําเลยที่ 2 กระทําการล้มมวย เป็นการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายเสื่อมเสียแก่ภาพลักษณ์ของกีฬามวยไทยและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวงการกีฬามวยไทยอย่างมาก..."
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานคำพิพากษาคดีน่าสนใจ กรณีนี้เป็นคำพิพากษาคดีการล้มมวย เหตุเกิดเมื่อปี 2561 โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาในปี 2564 สั่งจำคุกผู้จ้างวานล้มมวย 1 ปี และสั่งจำคุกนักมวย 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 5,000 บาท
ความน่าสนใจของคดีนี้อยู่ที่การสั่งจำคุกผู้จ้างวานล้มมวยโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งเป็นกรณีที่แตกต่างจากกรณีการล้มมวนอื่น ๆ ที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้กระทำความผิดรอลงอาญา เช่น กรณีการล้มมวยของ 'เด่นนาโพธิ์' ที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุก 'เด่นนาโพธิ์' และผู้จ้างวานคนละ 6 เดือน รอลงอาญา 1 ปี ปรับคนละ 30,000 บาท หรือกรณีของ 'ฟ้าวันใหม่ ช.ไทยเศรษฐ์' ที่ศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท ส่วนผู้จ้างวานศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี จำเลยขออุทธรณ์ ยื่นเงินสด 50,000 บาท เป็นหลักทรัพย์ในการประกันตัว ศาลอนุมัติให้ประกันตัวเพื่อให้จำเลยหาหลักฐานมาในชั้นของศาลอุทธรณ์ต่อไป เป็นต้น
อย่างไรก็ดี คดีของผู้จ้างวาน 'ฟ้าวันใหม่ ช.ไทยเศรษฐ์' ล้มมวยจะมีบทสรุปถูกจำคุกเหมือนคดีนี้หรือไม่ ศาลจะนำผลคำพิพากษาของคดีไปเป็นแนวทางในการพิจารณาตัดสินคดีล้มมวยอื่น ๆ ต่อไปหรือไม่ ต้องรอดูผลคำพิพากษาต่อไปในอนาคต
สำนักข่าวอิศราเรียบเรียงรายละเอียดคำพิพากษามานำเสนอ ดังนี้
ศาลฎีกา คําพิพากษาที่ 2303/2564 วันที่ 9 เดือน มิถุนายน พุทธศักราช 2564
ความอาญา ระหว่าง พนักงานอัยการ สํานักงานอัยการสูงสุด โจทก์
นายธนภัท ธัญธนพัต จําเลยที่ 1
นายณัฐพล ผาหยาด จําเลยที่ 2
เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติกีฬามวย
จําเลยที่ 1 ฎีกาคัดค้านคําพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 13 เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช 2563 ศาลฎีกา รับวันที่ 4 เดือน มีนาคม พุทธศักราช 2564
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ใดไม่ปรากฏชัด เดือนธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2561 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จําเลยที่ 1 ตกลงว่าจะให้เงิน 150,000 บาท แก่จําเลยที่ 2 และจําเลยที่ 2 ตกลงว่าจะรับเงิน 150,000 บาท เพื่อให้จําเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนักมวย มีฉายาว่า “อ๊อฟไซด์ สจ.วิชิตเมืองแปดริ้ว” สังกัดค่ายมวย สจ.วิชิตเมืองแปดริ้ว ซึ่งจะเข้าแข่งขันกีฬามวยไทย กับผู้มีชื่อนักมวยอีกฝ่ายหนึ่งในวันที่ 14 มกราคม 2562 รายการศึกมวย “วันทรงชัย” ณ เวทีมวยราชดําเนิน เพื่อจูงใจให้จําเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนักมวยและเข้าแข่งขันกีฬามวย ดังกล่าวกระทําการล้มมวยโดยแสร้งชกแพ้นักมวยอีกฝ่ายหนึ่งและมีเจตนาเพื่อให้ผลการแข่งขันกีฬามวยเป็นไปตามที่จําเลยทั้งสองกําหนดผลล่วงหน้า อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561 เวลากลางวัน ภายหลังจากจําเลยทั้งสองตกลงกันจะให้และยอมจะรับเงินดังกล่าว จําเลยที่ 1 ให้ทรัพย์สินโดยการโอนเงิน 20,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารของจําเลยที่ 2 และเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2562 จําเลยที่ 2 ได้เข้าแข่งขันกีฬามวยและแสร้งชกแพ้นักมวยอีกฝ่ายหนึ่ง ตามที่จําเลยทั้งสองได้ตกลงกันไว้
ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 เวลากลางวัน จําเลยที่ 1 ให้ทรัพย์สินโดยการโอนเงิน 110,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารของจําเลยที่ 2 ตามที่จําเลยทั้งสองตกลงกันไว้ ทั้งนี้จําเลยที่ 2 รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินสําหรับตนเองโดยรับเอาเงิน 130,000 บาท ไว้จากจําเลยที่ 1 เพื่อจูงใจตนเองซึ่งเป็นนักมวยกระทําการล้มมวย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 48, 50, 59
จําเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
@ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี ไม่รอลงอาญา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จําเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 มาตรา 44, 50, 59 จําคุกคนละ 2 ปี จําเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจําคุกคนละ 1 ปี
จําเลยทั้งสองอุทธรณ์
@ ศาลอุทธรณ์พิพากษา: จำคุกจำเลยที่ 1 1 ปี ไม่รอลงอาญา จำเลยที่ 2 ปรับ 5 พันบาท จำคุก 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจําเลยที่ 2 เป็นเงิน 10,000 บาท ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงปรับ 5,000 บาท โทษจําคุกของจําเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โดยให้คุมความประพฤติจําเลยที่ 2 ไว้ 1 ปี นับแต่วันที่อ่านคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จําเลยที่ 2 ฟัง ให้จําเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน และให้จําเลยที่ 2 กระทํากิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร มีกําหนด 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจําเลยที่ 2 ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น
จําเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคําพิพากษา ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยที่ 1 ว่า กรณีมีเหตุสมควรรอการลงโทษจําคุกให้แก่จําเลยที่ 1 หรือไม่
@ ศาลฎีกาพิพากษา: คงจำคุกจำเลยที่ 1 1 ปี ไม่รอลงอาญา เหตุมีพฤติการณ์ร้ายแรงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
เห็นว่า กีฬามวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้และเป็นวัฒนธรรมประจําชาติไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ควรที่คนไทยจะต้องรักษา หวงแหน และปกป้องกีฬามวยไทยให้เป็นเอกลักษณ์ของชาติสืบไป การที่จําเลยที่ 1 ติดต่อเสนอให้เงินแก่จําเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนักมวยที่จะขึ้นแข่งขัน จํานวน 150,000 บาท เพื่อจูงใจให้จําเลยที่ 2 กระทําการล้มมวย เป็นการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายเสื่อมเสียแก่ภาพลักษณ์ของกีฬามวยไทยและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวงการกีฬามวยไทยอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อความเสียหายแก่ประเทศและสังคมโดยรวม ทั้งยังเป็นการก่อให้เกิดการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการเล่นการพนันและเอาเปรียบผู้อื่น เพียงมุ่งหวังประโยชน์ส่วนตนโดยมิได้คํานึงถึงความเสียหายที่จะตามมา
พฤติการณ์การกระทําความผิดของจําเลยที่ 1 นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงแม้จะไม่ปรากฏว่าจําเลยที่ 1 เคยได้รับโทษจําคุกมาก่อนหรือมีเหตุผลจําเป็นส่วนตัวดังที่กล่าวอ้างมาในฎีกาก็ตาม กรณีไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาไม่รอการลงโทษจําคุกให้แก่จําเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจําเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน