"...การจับกุมตัว เสี่ยแป้ง นาโหนด ได้ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาดีใจกัน เพราะการหลบหนีของ เสี่ยแป้ง นาโหนด ชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องผิดพลาดในการควบคุมตัว นักโทษอุกฉกรรจ์ รายนี้ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกรมราชทัณฑ์ จะมีการปรับปรุงแก้ไขปัญหาอย่างไร ไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่หน่วยงานรัฐต้องเสียกำลังพล และงบประมาณจำนวนมากในการติดตามจับกุมตัวกลับมา ใครบ้างจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น..."
นายเชาวลิต ทองด้วงหรือ เสี่ยแป้ง นาโหนด นักโทษอุกฉกรรจ์ ที่ศาลจังหวัดพัทลุงสั่งจำคุก 20 ปี 6 เดือน ในคดีเข้าปล้นผู้ต้องหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 ขณะจับกุมคดียาเสพติด ที่หลบหนีออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชระหว่างเข้ารับการรักษาตัว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2566 ถูกทางรัฐบาลอินโดนีเซียจับกุมได้แล้วที่เกาะบาหลี
นายเชาวลิต ทองด้วงหรือ เสี่ยแป้ง นาโหนด
ปรากฏเป็นหัวข้อข่าวใหญ่ที่สื่อหลายสำนัก นำเสนอต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2567 ที่ผ่านมา โดย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า ในวันนี้ (31 พ.ค.2567) จะประสานรับตัวที่เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และสืบเนื่องจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กระทรวงการต่างประเทศติดตามอย่างใกล้ชิด และเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ตนเดินทางไปยังประเทศอินโดนีเซีย พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานกับทางการ นำตัว นายเชาวลิต หรือ แป้ง นาโหนด กลับมาประเทศไทย
สำหรับเส้นทางการหลบหนี ของ แป้ง นาโหนด ถูกระบุว่า นายเชาวลิตได้หลบหนีออกจากประเทศไทย ใช้พาสปอร์ตปลอม เป็นคนจังหวัดอาเจะห์ และไปอยู่ในอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่อย่างระมัดระวังตัว ส่วนใหญ่อยู่ในเมือง Kabupaten Badung เกาะบาหลี รวมถึงในอีกหลายๆ เมือง ซึ่งทางรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยเฉพาะตำรวจก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนในช่วงเช้าที่ผ่านมาสามารถจับกุมได้ หลังจากได้ตัวก็คาดว่าน่าจะได้เครือข่ายสำคัญเกี่ยวกับคดียาเสพติด
เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการเบื้องหลังการสืบสวนจับกุม เสี่ยแป้ง นาโหนด ในครั้งนี้นั้น
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการยืนยันข้อมูลว่า เปิดฉากโดยชุดสืบสวนสอบสวนของตำรวจภูธรภาค9 นำโดยพันตำรวจเอกสมพงษ์ สุวรรณวงศ์ รองผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 9 ได้สืบสวนหาข่าวติดตามตัวผู้ต้องหารายนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งพบความเคลื่อนไหวของบุคคลรอบตัวเสี่ยแป้ง นาโหนด ประกอบกับได้รับการยืนยันจากสายลับว่าเสี่ยแป้งนั้นได้หลบหนีไปอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
จากนั้น ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 9 ได้รับคำสั่ง ให้ประสานตรวจสอบความเคลื่อนไหวการเดินทางเข้าออกนอกประเทศของบุคคลรอบข้างของ เสี่ยแป้ง นาโหนด จึงได้ประสานไปยัง กองบังคับสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่มอบหมายให้พันตำรวจเอก ชยะ พานะกิจ ผู้กำกับการสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นผู้ประสานงาน
จนกระทั่งพบว่าในห้วงเวลาที่ผ่านมา มีบุคคลที่เฝ้าระวังเดินทางไปยังประเทศอินโดนีเซียในลักษณะการไปกลับหลายครั้ง จนเป็นที่น่าสงสัย ชุดสืบสวนจึงได้ประสานไปยัง พันตำรวจเอก ทวีสอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะควบคุมกรมราชทัณฑ์
ต่อมา พันตำรวจเอก ทวีสอด ได้มีคำสั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าไปร่วมสืบสวนคดีนี้ พร้อมได้ออกคำสั่งแต่งตั้งชุดเฉพาะกิจ ให้ดีเอสไอเข้าไปร่วมสืบสวนสอบสวนกับตำรวจด้วย
โดยในฝ่ายของตำรวจนั้นประกอบด้วย พันตำรวจเอก สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ พันตำรวจเอก ศักดา เจริญกุล รองผบก.สส.ภ.9 พันตำรวจโท ปิยพล แป้นแก้ว รองผกก.ปพ. บก.สส.ภ.9 ดาบตำรวจ เอกรินทร์ ธัญญาฤทธิ์ ผบ.หมู่ กก.ปพ. บก.สส.ภ.9 พันตำรวจเอก ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) บก.สส.สตม. พันตำรวจตรี ภูริศ คำหมื่น สว.กก.2 บก.สส.สตม. พันตำรวจตรี โกเมน วรรณบวร สว.(สอบสวน) กก.สส.บก.ตม.4 และ พันตำรวจเอก ณรภณ วัฒนะกรทวี ผกก.ฝอ.2 บก.อก.บช.ทท.
จากการสืบสวนพบว่าในช่วงกลางเดือน พ.ค.2567 ที่ผ่านมา มีหญิงคนหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นแฟนสาวของเสี่ยแป้ง นาโหนด ได้เดินทางไปยังเมืองเมดาน ประเทศอินโดนีเซีย
ชุดสืบสวนทั้งหมดนำโดย พันตำรวจเอก สมพงษ์ จึงได้เดินทางไปยังประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2567 พร้อมกับประสานกับตำรวจประเทศอินโดนีเซียในการสืบสวนติดตามตัวโดยที่สร้างเจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียให้ความร่วมมืออย่างดี
ในเบื้องต้น จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่สนามบินในวันที่หญิงสาวที่คาดว่าเป็นแฟนของเสี่ยแป้ง นาโหนด เดินทางมาถึงนั้นพบว่า ได้เดินทางไปที่หอพักแห่งหนึ่งในเมืองเมดาน
ชุดสืบสวนร่วมของตำรวจไทยและตำรวจอินโดนีเซีย จึงเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวพร้อมกับสอบปากคำพยานกระทั่งพบว่ามี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) รายหนึ่ง ให้การยืนยันชัดเจนว่าเห็นเสี่ยแป้ง นาโหนด ทะเลาะและมีปากเสียงกับผู้หญิงไทยคนหนึ่งอย่างรุนแรงจึงจำหน้าได้
ก่อนที่ เสี่ยแป้ง นาโหนด จะแยกย้ายกับผู้หญิงไทยรายนี้ และผู้หญิงไทยได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย
จากการสืบสวนร่วมกันของทั้งสองประเทศยังพบว่า เสี่ยแป้ง นาโหนด มีแฟนอีกคนหนึ่งเป็นชาวอินโดนีเซียและได้เดินทางไปเที่ยวที่บาหลีประเทศอินโดนีเซีย โดยก่อนเดินทางไปบาหลีนั้นได้ไปทำบัตรประชาชนปลอมของประเทศอินโดนีเซีย เพื่อที่จะเดินทางขึ้นเครื่องบินไปยังบาหลีดังกล่าว
เมื่อรู้เช่นนั้นชุดสืบสวนไม่รอช้า จึงเคลื่อนกำลังเดินทางไปที่บาหลีทันที ระหว่างนั้นตำรวจอินโดนีเซียก็สืบสวนพบว่าผู้หญิงชาวอินโดนีเซียที่เดินทางไปกับ เสี่ยแป้ง นาโหนด นั้น เป็นใคร
เมื่อตรวจสอบก็พบว่าผู้หญิงชาวอินโดนีเซียรายนี้ ป่วยไม่สบายนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบาหลี
จึงได้ประสานงานกับตำรวจบาหลีและเข้าสอบปากคำผู้หญิงชาวอินโดนีเซียคนดังกล่าวทันที เจ้าตัวให้การรับสารภาพว่าได้เดินทางมากับเสี่ยแป้ง นาโหนด จริง
แต่ระหว่างนั้นได้มีปากเสียงกันเพราะจับได้ว่าเสี่ยแป้ง นาโหนด มีกิ๊กสาวชาวอินโดนีเซียอีกหนึ่งคน จึงแยกทางกันเมื่อวันที่ 22 พค. และบอกด้วยว่า ที่พักที่สุดท้ายของเสี่ยแป้ง นาโหนด อยู่ที่ไหน
เมื่อชุดสืบสวนของทั้งตำรวจไทยและตำรวจยูนีเซียร์ไปถึงก็พบว่าเสี่ยแป้ง นาโหนด ได้ออกจาก ที่พักเก่าไปแล้ว
แต่ก็ไม่ได้ยากเย็นกับการสืบสวนมากนัก จากการไล่กล้องวงจรปิดและสอบปากคำพยานจึงพบว่า เสี่ยแป้ง นาโหนด พร้อมกิ๊กสาวอินโดนีเซียอีกคน ไปกบดานอยู่ที่ที่พักแห่งหนึ่งที่บาหลี จึงเข้าควบคุมตัวไว้ได้ที่ที่พักแห่งหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) กลางเมืองบาหลี เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 30 พ.ค.2563
นับรวมระยะเวลาปฏิบัติการข้ามแดนครั้งนี้ ที่ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากตำรวจอินโดนีเซีย ใช้เวลาล่าตัวเพียง 10 วัน ก็สามารถจับกุมตัวได้
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า ในวันที่ 31 พ.ค.2567 นี้ ทันทีที่ พันตำรวจเอก ทวี เดินทางไปถึงยังกรุงจาการ์ตา จะมีการประชุมหารือเรื่องการส่งตัวเสี่ยแป้ง นาโหนด กลับประเทศไทย
ขณะที่แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา ว่า การจับกุมตัว เสี่ยแป้ง นาโหนด ได้ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาดีใจกัน เพราะการหลบหนีของ เสี่ยแป้ง นาโหนด ชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องผิดพลาดในการควบคุมตัว นักโทษอุกฉกรรจ์ รายนี้ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกรมราชทัณฑ์ จะมีการปรับปรุงแก้ไขปัญหาอย่างไร ไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่หน่วยงานรัฐต้องเสียกำลังพล และงบประมาณจำนวนมากในการติดตามจับกุมตัวกลับมา
ใครบ้างจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น
ควรจะต้องมีคำตอบที่ชัดเจนให้สาธารณชนได้รับทราบกัน โดยเร็วที่สุด