เปิดคำสั่ง ปปง.ฉบับเต็ม อายัดเงินหลักประกันคงเหลือในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ‘กิตติศักดิ์ มัทธุจัด’ 247,059.24 บาท คดียักยอกสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 1,600 ล. ถูกศาลพิพากษาจำคุกกราวรูด อดีต ผจก.ไทยพาณิชย์ 2 คดี 288 ปี 8 เดือน ขณะที่ ผอ.ส่วนการคลัง 203 ปี
กรณีวันที่ 10 เม.ย.2567 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย.88 / 2567 เรื่อง อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราวคดีนายทรงกลด ศรีประสงค์ นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในความผิดฐานลักทรัพย์ ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย โดยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ อายัดเงินหลักประกันคงเหลือในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) เลขที่ 044796-7 ชื่อบัญชี นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด จำนวน 247,059.24 บาท เป็นคดียักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) กว่า 1,600 ล้านบาท ตามที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานแล้ว (ข่าวเกี่ยวข้อง: ปปง.อายัดเงินในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ 247,059.24 บาท คดียักยอก สจล. 1,600 ล.)
ที่มาของคดีเป็นอย่างไร? 3 ตัวละครผู้เกี่ยวข้องถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกคนละกี่ปี?
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา เรียบเรียงคำสั่งอายัดทรัพย์ มารายงาน
@ รับรายงานจาก ตร.กองปราบ
ด้วยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับเรื่องจากกองบังคับการปราบปราม ตามหนังสือ ลับ ที่ ตช 0021.2/2959 ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2557 เรื่อง ขอให้ตรวจสอบและวิเคราะห์การทำธุรกรรมทางการเงิน และหนังสือที่ ตช 0026.2/5020 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2557 เรื่อง ขอความร่วมมืออายัดการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์ แห่งการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ และ ความผิดเกี่ยวกับการลักทรัพย์หรือยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ กล่าวคือ
นางสาววรวรรณ สุวรรณกูฏ ผู้กล่าวหา ได้รับมอบอำนาจจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังให้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม เพื่อให้ดำเนินคดีแก่นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบิ๊กซีสุวินทวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 1 นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 2 ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สจล. และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง ในความผิดฐานลักทรัพย์ ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม และเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย โดยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มาตรา 265 มาตรา 268 และมาตรา 335 (7) และ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4
@ ศาลจำคุก 3 คน 193 ปี 8 เดือน , 203 ปี และ 36 ปี คดีลักทรัพย์นายจ้าง
ต่อมาศาลจังหวัดมีนบุรีในคดีหมายเลขดำที่ อ.1192/2558 หมายเลขแดงที่ อ.10098/2561 มีคําพิพากษาว่า นายทรงกลด ศรีประสงค์ มีความผิดฐานลักทรัพย์ของนายจ้าง ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม กับความผิดฐานฟอกเงิน จําคุกรวม 193 ปี 8 เดือน นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 จําคุกรวม 203 ปี ให้นายทรงกลด ศรีประสงค์ และนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ส่วนนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ได้รับโอนเงินจากการฉ้อฉลของนายทรงกลด ศรีประสงค์ เข้าบัญชีเงินฝากจึงมีความผิดฐานร่วมกัน ฟอกเงิน ลงโทษจําคุก 36 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในส่วนของนายทรงกลด ศรีประสงค์ นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ และนายกิติศักดิ์ มัทธุจัด และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
@ศาลอาญาคดีทุจริตฯโดนอีก 95 กับ 55 ปี
นอกจากนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในคดีหมายเลขดำที่ อท.24/2561 หมายเลขแดงที่ อท.147/2562 มีคําพิพากษาว่า นายทรงกลด ศรีประสงค์ มีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่สองคนขึ้นไปและที่เป็นของนายจ้าง ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ลงโทษจําคุก 95 ปี ส่วนนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด เป็นบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง แต่เปิดบัญชีและรับโอนเงินจากนายทรงกลด ศรีประสงค์ มีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่สองคนขึ้นไป ลงโทษจําคุก 55 ปี โดยให้ร่วมกันชดใช้เงินคืน ให้แก่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) ส่วนนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ พิพากษายกฟ้อง อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (5) และ (18) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายทรงกลด ศรีประสงค์ และนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 1/2558 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2558 ที่ประชุม มีมติมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ม.21/2558 ลงวันที่ 15 มกราคม 2558 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รายนายทรงกลด ศรีประสงค์ และนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ กับพวก คำสั่งเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม.44/2563 ลงวันที่ 21 มกราคม 2563 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด (เพิ่มเติม) รายนายทรงกลด ศรีประสงค์ และนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ กับพวก และคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม.122/2567 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2567 เรื่อง มอบหมาย พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด (เพิ่มเติม) รายนายทรงกลด ศรีประสงค์ และนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ กับพวก
@บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยแจ้งพบบัญชีเงินฝาก ‘กิตติศักดิ์ มัทธุจัด’เพิ่ม
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 สำนักงาน ปปง. ได้รับแจ้งตามหนังสือที่ 019/2567 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 จากบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ว่า ได้ดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อให้เป็นไปตามคําพิพากษาของศาลซึ่งถึงที่สุดแล้ว ตามที่ได้รับแจ้งจากสำนักงาน ปปง. ตามหนังสือ ที่ ปง 0010.2/3783 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2565 แต่ ณ ปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ได้ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด มีทรัพย์สินนอกเหนือจากที่ระบุไว้ใน คําพิพากษา เป็นเงินหลักประกันคงเหลือในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ เลขที่ 044796-7 ชื่อบัญชี นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด จำนวน 247,059.24 บาท ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567
พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบรายงานการทำธุรกรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของบุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า นายทรงกลด ศรีประสงค์ และนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทำอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (5) และ (18) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือ เคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน และจากการตรวจสอบข้อมูลการทำ ธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบข้อมูล ตามที่ได้รับแจ้งจากบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 1 รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้เป็นสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินหลักประกันในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด ซ่อนเร้น ได้โดยง่าย หากมิได้มีการออกคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดำเนินการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้น ทรัพย์สินดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมาศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สำนักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายทรงกลด ศรีประสงค์ และนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และอาจมี การโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว
@เข้ามูลฐานความผิดฟอกเงิน
อนึ่ง ตามคําพิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรี ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.10098/2561 ได้วินิจฉัยและพิพากษาว่านายทรงกลด ศรีประสงค์ มีความผิดฐานลักทรัพย์ของนายจ้าง ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม กับความผิดฐานฟอกเงิน นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ส่วนนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด มีความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน กรณีจึงปรากฏหลักฐานเป็นที่ เชื่อได้ว่า นายทรงกลด ศรีประสงค์ และนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ความผิดเกี่ยวกับการลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ และมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (5) (14) และ (18) และความผิดฐานฟอกเงิน ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 คณะกรรมการธุรกรรมในการประชุม ครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 จึงมีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมความผิดมูลฐานในการ ดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันแลปราบปรามการฟอกเงินรายนายทรงกลด ศรีประสงค์ และนางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ กับพวก ให้ถูกต้องครบถ้วน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรมในการประชุม ครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรม ว่าด้วยการรับเรื่อง การตรวจสอบ การพิจารณาดำเนินการ และการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2556 ข้อ 25 คณะกรรมการธุรกรรม จึงมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 1 รายการ พร้อมดอกผล คือ เงินหลักประกันคงเหลือในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) เลขที่ 044796-7 ชื่อบัญชี นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด จำนวน 247,059.24 บาท (สองแสนสี่หมื่นเจ็ดพันห้าสิบ เก้าบาทยี่สิบสี่สตางค์) ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 มีกําหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่ คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2567 ถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2567
จากข้อมูลสรุปได้ว่า
ศาลจังหวัดมีนบุรีในคดีหมายเลขดำที่ อ.1192/2558 หมายเลขแดงที่ อ.10098/2561
1.นายทรงกลด ศรีประสงค์ จําคุกรวม 193 ปี 8 เดือน
2. นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ จําคุกรวม 203 ปี
ให้ทั้งสองคน ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน)
3.นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ลงโทษจําคุก 36 ปี
อาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในคดีหมายเลขดำที่ อท.24/2561 หมายเลขแดงที่ อท.147/2562 มี
1. นายทรงกลด ศรีประสงค์ ลงโทษจําคุก 95 ปี
2. นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด จําคุก 55 ปี โดยให้ร่วมกันชดใช้เงินคืน ให้แก่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน)
3.นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ ยกฟ้อง
รวม 2 คดี นายทรงกลด ศรีประสงค์ จําคุกรวม 288 ปี 8 เดือน