"...จากการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) ตามเช็คของกลางเปรียบเทียบกับลายมือชื่อของนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) ตามที่ระบุในเอกสารตัวอย่างแล้วปรากฏว่า พบร่องรอยของเส้นร่างในลายมือชื่อที่เป็นปัญหาในเช็คของกลางจึงลงความเห็นว่าเป็นลายมือชื่อที่เกิดจากการลากทานแบบตามรายงานการตรวจพิสูจน์อันแสดงว่าลายมือชื่อของนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) ตามเช็คในฟ้องเป็นลายมือชื่อปลอม..."
กรณีเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2566 ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบภาค 9 มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษจำคุก 90 ปี แต่ติดจริง 50 ปี นางจิรนันท์ แก้วคำ หรือนางเมษิยา ชูสงค์ หรือนางเมธาวี คีตะเมธา ชูสงค์ อดีตเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี 4 สำนักงานบังคับคดีจังหวัดปัตตานี กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ในคดีกล่าวหาปลอมลายมือชื่อผู้อำนวยการ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาเบิกเงินจากธนาคารไปทั้งหมด 18 ครั้ง รวมเป็นเงิน 2,805,391 บาท เบียดบังไปเป็นของตนเองโดยทุจริต
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำพฤติการณ์การกระทำความผิดเบื้องต้น ของ นางจิรนันท์ แก้วคำ หรือนางเมษิยา ชูสงค์ หรือนางเมธาวี คีตะเมธา ชูสงค์ มานำเสนอไปแล้วว่า ภายหลังจาก นางจิรนันท์ แก้วคำ หรือนางเมษิยา ชูสงค์ หรือนางเมธาวี คีตะเมธา ชูสงค์ ปลอมลายมือชื่อผู้อำนวยการแล้วจะลงลายมือชื่อตนเองร่วมกับลายมือชื่อผู้อำนวยการที่ปลอมขึ้น ออกเช็คของสำนักงานบังคับคดีจังหวัดปัตตานี สั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้อำนวยการ โดยไม่ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ"
จากนั้น จะนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร จำนวน 18 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2,805,391 บาท
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดคำพิพากษา ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบภาค 9 ฉบับเต็มที่พิพากษาตัดสินคดีนี้
@ มูลเหตุแห่งคดี
คดีนี้ขณะเกิดเหตุจําเลยดํารงตําแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี 4 สํานักงานบังคับคดีจังหวัดปัตตานี กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรมผู้เสียหาย อันเป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอํานาจหน้าที่ในการเบิกจ่ายเงินและสั่งจ่ายเช็คของผู้เสียหาย ตามระเบียบและข้อกําหนดที่ผู้เสียหายได้ทําไว้แก่ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาปัตตานี
โดยนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) ผู้อํานวยการผู้เสียหาย มีอํานาจลงนามสั่งจ่ายเช็คของผู้เสียหายร่วมกับจําเลย โดยจําเลยมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาเช็คและเงินงบประมาณตามเช็คของผู้เสียหายตามกฎหมาย ระเบียบ และคําสั่งของทางราชการ เมื่อระหว่างวันที่ 18 มีนาคม 2547 ถึงวันที่ 27 เมษายน 2549
จําเลยออกเช็คเบิกจ่ายเงินของผู้เสียหายออกจากบัญชีเงินฝาก เลขที่ XXX ของผู้เสียหาย รวมเป็นเงินจํานวนทั้งสิ้น 2,805,391.55 บาท
@ จําเลยกระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จําเลยกระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่
โจทก์มี ม. (ชื่ออักษรย่อ) เป็นพยานเบิกความได้ความว่า จําเลยปลอมลายมือชื่อของพยาน และจําเลยลงลายมือชื่อจําเลยร่วมกับลายมือชื่อพยานที่จําเลยทําปลอมขึ้น ออกเช็คของผู้เสียหายสั่งจ่ายเงินให้แก่พยานในฐานะผู้อําานวยการผู้เสียหายโดยไม่ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คตามฟ้อง 18 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2,805,391.55 บาท
จําเลยนําเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คแล้วเบียดบังเอาเงินจํานวนดังกล่าวนั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ไม่นําส่งคืนให้แก่ผู้เสียหาย
ต่อมาผู้เสียหายตรวจสอบด้านการเงินและบัญชีพบว่ามีการบันทึกข้อมูลการเบิกจ่ายเงินและเช็คไม่ครบถ้วน ประกอบกับการจ่ายเช็คไม่ได้เขียนรายละเอียดในต้นขั้วเช็คบางฉบับให้ครบถ้วน
ผู้เสียหาย จึงมีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง พบว่าจําเลยปลอมเช็คและปลอมลายมือชื่อของพยาน แล้วนําเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คนําเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ของตน กับโจทก์มีนาง ว. (ชื่ออักษรย่อ) ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาปัตตานี และนาง ล. (ชื่ออักษรย่อ) เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาปัตตานี เป็นพยานเบิกความทํานองเดียวกันได้ความว่า ขณะเกิดเหตุนาง ว.(ชื่ออักษรย่อ) และนาง ล. (ชื่ออักษรย่อ) มีหน้าที่บริการลูกค้า
จําเลยนำเช็คของผู้เสียหายที่มีการปลอมลายมือชื่อของนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) 16 ฉบับ และจําเลยลงลายมือชื่อร่วมกับนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) อีก 2 ฉบับ รวมเป็น 18 ฉบับ แล้วนําเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารรวมเป็นเงิน 2,805,391.55 บาท อันเป็นการกระทําโดยทุจริต
เห็นว่า นาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงว่าจําเลยเป็นผู้นําเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คแล้วเบียดบังเอาเงินดังกล่าวนั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต โดยโจทก์มีนาง ว. (ชื่ออักษรย่อ) และนาง ล. (ชื่ออักษรย่อ) เจ้าหน้าที่ธนาคารตามเช็คซึ่งให้บริการจําเลยขณะที่นําเช็คมาเรียกเก็บเงินเบิกความสนับสนุน นาง ว. (ชื่ออักษรย่อ) และนาง ล. (ชื่ออักษรย่อ) เป็นพยานคนกลางไม่ปรากฏว่ามีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด
@ พบร่องรอยของเส้นร่างในลายมือ
การที่นาง ว. (ชื่ออักษรย่อ) และนาง ล. (ชื่ออักษรย่อ) ให้จําเลยเบิกเงินตามเช็คไปทั้งที่มีการปลอมลายมือชื่อของนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) อย่างไม่ประจักษ์ อาจเกิดความเสียหายแก่ธนาคารที่ตนปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้
จึงไม่มีเหตุผลใดที่ นาง ว. (ชื่ออักษรย่อ) และนาง ล. (ชื่ออักษรย่อ) จะเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งจะทําให้ตนเองและธนาคารได้รับความเสียหายจริงไปด้วย
คําเบิกความของนาง ว. (ชื่ออักษรย่อ) และนาง ล. (ชื่ออักษรย่อ) จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้
และจากการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) ตามเช็คของกลางเปรียบเทียบกับลายมือชื่อของนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) ตามที่ระบุในเอกสารตัวอย่างแล้วปรากฏว่า พบร่องรอยของเส้นร่างในลายมือชื่อที่เป็นปัญหาในเช็คของกลาง
จึงลงความเห็นว่าเป็นลายมือชื่อที่เกิดจากการลากทานแบบตามรายงานการตรวจพิสูจน์อันแสดงว่าลายมือชื่อของนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) ตามเช็คในฟ้องเป็นลายมือชื่อปลอม ซึ่งสนับสนุนให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงมากยิ่งขึ้น
@ ข้ออ้างจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนยังได้ความว่าจําเลยเป็นผู้มีหน้าที่โดยตรงในการครอบครองดูแลรักษาเช็ค ร่วมลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค และเบิกจ่ายเงินตามเช็คในฐานะเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี 4 ของผู้เสียหาย การกระทําความผิดในคดีนี้จึงย่อมอยู่ในความรู้เห็นของจําเลย
จนนาย จ. (ชื่ออักษรย่อ) พนักงานไต่สวนคณะกรรมการ ป.ป.ช. พยานโจทก์อีกคนหนึ่งเบิกความว่า คณะกรรมการไต่สวนมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ดําเนินคดีแก่จําเลย
ส่วนจําเลยที่อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความต่อสู้ว่า จําเลยไม่ได้ถือกุญแจตู้เซฟจึงไม่มีสิทธินําสมุดเช็คออกมา แต่จําเลยนําเช็คทั้ง 18 ฉบับ ไปเบิกเงินที่ธนาคารตามเช็คแล้วนําเงินมาให้นาย ม. (ชื่ออักษรย่อ)
การเบิกเงินสดจากธนาคารจําเลยจะเดินทางไปกับพนักงานขับรถของผู้เสียหายทุกครั้งนั้น หากจําเลยนําเช็คทั้ง 18 ฉบับ ไปเบิกเงินที่ธนาคารด้วยตนเองโดยจําเลยต้องลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินในเช็คร่วมกับนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) และผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อปรากฏว่าลายมือชื่อนาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) เป็นลายมือชื่อปลอมแล้ว คงเหลือแต่นาย ม. (ชื่ออักษรย่อ) เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับเช็ค เช่นนี้ ลําพังแต่นาย ม. (ชื่ออักษรย่อ)เท่านั้นที่จะปลอมลายมือชื่อตนเองได้แล้ว
ไม่น่าเชื่อว่านาย ม. (ชื่ออักษรย่อ)จะทําปลอมลายมือชื่อตนเองตามผลการตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อปลอมเกิดจากการลากทาบแบบดังกล่าว
ข้อต่อสู้ของจําเลยที่อ้างตนเองเพียงปากเดียวเป็นพยานเบิกความลอย ๆ จึงขัดต่อเหตุผลไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้
@ จําเลยผิดตามฟ้อง
ดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่ไต่สวนมารับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจําเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทํา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย
การกระทําของจําเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง
ส่วนที่โจทก์ขอให้จําเลยคืนเงิน 2,805,391.55 บาท แก่ผู้เสียหายนั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามทางไต่สวนจากคําเบิกความของนายมโหสถและรายละเอียดการคํานวณค่าสินไหมทดแทนท้ายคําร้องขอส่งเอกสารเพิ่มเติมของโจทก์ ลงวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ว่า ได้มีการชําระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายแล้วเป็นเงิน 561,078,30 บาท เมื่อนํามาหักออกจากเงินจํานวนดังกล่าวแล้วจึงคงเหลือ 2,244,313.24 บาท
อนึ่ง หลังจากจําเลยกระทําความผิดมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 มาตรา 7 ให้ยกเลิกอัตราโทษในมาตรา 147 โดยให้ใช้อัตราโทษใหม่แทน ซึ่งโทษจําคุกตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีระวางโทษเท่ากัน
ส่วนโทษปรับตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีระวางโทษสูงกว่าโทษปรับตามกฎหมายเดิม กฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จําเลย จึงต้องใช้กฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทําความผิดบังคับแก่จําเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
@ จําคุก 90 ปี ติดจริง 50 -คืนเงิน 2,244,313.24 บาท
พิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 (เดิม) การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จําคุกกระทงละ 5 ปี รวม 18 กระทง เป็นจําคุก 90 ปี
เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจําคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ให้จําเลยคืนเงิน 2,244,313.24 บาท แก่สํานักงานบังคับคดีจังหวัดปัตตานี กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ผู้เสียหาย
คําขออื่นให้ยก./
อย่างไรก็ดี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้