"...เมื่อนายเกาเผิง เดินทางมาถึงประเทศไทยในวันที่ 3 ก.ค. ตัวเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้ขู่วางระเบิด ไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกขึ้นบัญชีดำสำหรับผู้เดินทางในสหภาพยุโรปหรืออียู และไม่ได้คาดคิดว่าแม่และน้องสาวของเขาในวัย 16 ปี จะถูกคุมขังและถูกข่มขู่ว่าจะส่งกลับประเทศจีน ทว่าข้อกล่าวหาเรื่องความเสี่ยงว่าจะเป็นมือระเบิดทำให้ตัวของนายเกาเผิง และแม่ของเขาไม่เป็นที่ต้อนรับต่อทั้งสนามบิน,โรงแรมหรู และสถานทูตจีนในกรุงเทพ และยังส่งผลกระทบต่อแผนการของครอบครัวของเขาที่ต้องการจะลี้ภัยไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์..."
ประเด็นเรื่องอิทธิพลของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีต่อประเทศอื่นๆที่มีพลังอำนาจน้อยกว่า รวมไปถึงอิทธิพลต่อการตัดสินใจของหน่วยงานในประเทศไทย เรื่องเหล่านี้กำลังเป็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้
ล่าสุดมีรายงานข่าวจากสำนักข่าวเอพี เกี่ยวกับกรณีที่รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ได้ใช้ข้อกล่าวหา “มือระเบิด” เพื่อที่จะควบคุมฝ่ายตรงข้าม ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่หนีไปยังประเทศอื่น รวมถึงไทย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอารายงานดังกล่าวมานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
เมื่อนายเกาเผิง เดินทางมาถึงประเทศไทยในวันที่ 3 ก.ค. ตัวเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้ขู่วางระเบิด ไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกขึ้นบัญชีดำสำหรับผู้เดินทางในสหภาพยุโรปหรืออียู และไม่ได้คาดคิดว่าแม่และน้องสาวของเขาในวัย 16 ปี จะถูกคุมขังและถูกข่มขู่ว่าจะส่งกลับประเทศจีน
ทว่าข้อกล่าวหาเรื่องความเสี่ยงว่าจะเป็นมือระเบิดทำให้ตัวของนายเกาเผิง และแม่ของเขาไม่เป็นที่ต้อนรับต่อทั้งสนามบิน,โรงแรมหรู และสถานทูตจีนในกรุงเทพ และยังส่งผลกระทบต่อแผนการของครอบครัวของเขาที่ต้องการจะลี้ภัยไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งที่นั่น พ่อของเกาเผิงได้ไปรออยู่แล้วเมื่อสามปีก่อน
ข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นผู้ขู่วางระเบิดดังกล่าวนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอันซับซ้อนของรัฐบาลจีน ที่ต้องการจะคุกคามชาวจีนรวมไปถึงสมาชิกครอบครัวของผู้ที่เห็นต่างจากรัฐบาลจีนที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ
ทั้งนี้ไม่มีแหล่งข้อมูลอิสระใดสามารถยืนยันได้ว่านายเกาเผิง และพ่อของเขา นายเกาจื่อ เป็นผู้ทำหรือขู่วางระเบิดจริงตามที่รัฐบาลจีนได้กล่าวอ้างหรือไม่ แต่ว่าสถานการณ์ของพวกเขา ณ เวลานี้ สะท้อนให้เห็นถึงกรณีที่ผู้เห็นต่างจากรัฐบาลจีนคนอื่นๆเริ่มมีความเชื่อที่ว่าทางการจีนกำลังใช้ข้อกล่าวอ้างเรื่องการเป็นผู้ขู่วางระเบิดมาขู่เพื่อควบคุมกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มผู้เห็นต่างในต่างแดน
นายเกาเผิง บุตรชายของนายเกาจื่อ
นายวิลเลี่ยม นี ผู้ประสานงานด้านงานวิจัยและการสนับสนุนที่แนวร่วมขององค์กรสิทธิที่เรียกกันว่าผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวจีน (Chinese Human Rights Defenders) ออกมากล่าวว่าประเด็นเรื่องข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ขู่วางระเบิดดูเหมือนว่าจะเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่จะควบคุมรัฐบาลประเทศอื่นๆให้ดำเนินการต่อต้านกลุ่มผู้เห็นต่างรัฐบาลจีน
“เห็นได้ชัดว่าหน่วยงานของรัฐอาจให้ความสําคัญกับภัยคุกคามดังกล่าวอย่างจริงจัง” นายนีกล่าวและกล่าวต่อไปว่า “มันยากสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใจได้ว่าข้อกล่าวหาที่ว่ามานี้เป็นข้อกล่าวหาที่มีลักษณะผิดปกติ”
ข้อกล่าวหาเรื่องผู้ขู่วางระเบิดยังส่งผลทำให้ทางเนเธอร์แลนด์ได้ดำเนินการเพิกถอนการอนุมัติวีซ่าสำหรับครอบครัวของนายเกาและทำให้ภรรยาและลูกชายของเขาอยู่ในบัญชีดำสำหรับผู้เดินทางในอียู ส่งผลทำให้พวกเขาต้องตกค้างอยู่ในประเทศไทยจนกว่าวีซ่าจะหมดอายุ ส่วนตำรวจไทย จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลว่าได้ดำเนินการสอบสวนวาสผู้ถูกกล่าวหานั้นเป็นผู้ขู่วางระเบิดจริงหรือไม่
@ข้อเสนอเรื่องการลี้ภัย และการต่อรองที่ลึกลับ
ที่ผ่านมานายเกาจื่อ ไม่ใช่ผู้ที่เห็นต่างหรือผู้คัดค้านรัฐบาลจีนรายที่โดดเด่นแต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อต้นปี 2563 เขาซึ่งเป็นแรงงานในโรงงานข้ามชาติได้รู้วิธีจะหลบเลี่ยงจากระบบเซ็นเซอร์ของรัฐบาลจีน เพื่อจะใช้งานโซเชียลมีเดียทวิตเตอร์ โดยหลังจากที่นายเกาจื่อสามารถใช้ทวิตเตอร์ได้ เขาก็ได้กดติดตามกลุ่มนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชน และโพสต์ข้อความขอให้โค่นล้มพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ต่อมานายเกาจื่อได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยไปในประเทศเนเธอร์แลนด์ และเขาย้ายไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่เดือน ม.ค.2563
กลับมาที่จีนแผ่นดินใหญ่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนของครอบครัวนายเกาถึงสองครั้งด้วยกัน ซึ่งการสอบสวนในครั้งแรกแม้จะมีความกดดัน แต่ก็พอจะสามารถจัดการได้
แต่ปัญหามาเกิดขึ้นก็คือว่านายเกาจื่อกลับไปร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ในโอกาสครบรอบการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปี 2532 ซึ่งการชุมนุมนี้จัดขึ้นโดยนายหวังจิงหยู เพื่อนของเกาจื่อ และนายหวังจิงหยู ถือว่าเป็นผู้เห็นต่างรายสำคัญคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเนเธอร์แลนด์
ที่ประเทศจีน เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าตรวจค้นบ้านของนางหลิวเฟิงหลิง ภรรยาของนายเกาจื่อ และขอยึดโทรศัพท์มือถือของเธอ เมื่อเธอปฏิเสธ พวกเขาก็บังคับเธอและแย่งมือถือไป
เมื่อนางหลิวได้บอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่เป็นสามี เขาก็ได้เตือนให้เธอรีบหนีออกจากประเทศจีน
ส่วนเจ้าหน้าที่เนเธอร์แลนด์บอกกนายเกาจื่อว่าครอบครัวของเขาอาจจะได้รับวีซ่าฉุกเฉินที่สถานทูตเนเธอร์แลนด์ในกรุงเทพฯ ซึ่งพลเมืองจีนสามารถจะขอได้เมื่อเดินทางมาถึงแล้ว
ทางสำนักข่าวเอพีรายงานเพิ่มเติมตรงนี้ว่าก่อนที่ครอบครัวเกาจะเดินทางออกจากจีน พบว่ามีคนอ้างว่าทำงานให้กับกระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้ติดต่อมา
คนที่ติดต่อมาเสนอข้อตกลงระบุว่าถ้าหากนายเกาจื่อให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดถ้อยคำการวิจารณ์ และลดการสนับสนุนนายหวังที่จะให้สัมภาษณ์น้อยลง รัฐบาลก็จะช่วยให้นายเกาจื่อได้อยู่กับครอบครัวอีกครั้ง แต่ถ้าหากไม่ปฏิบัติตาม นางหลิวก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากประเทศจีน
หลังจากพูดคุยกันกับนายหวัง นายเกาจื่อก็ตกลงกับข้อเสนอนี้
นายเกาจื่อ ผู้เห็นต่างชาวจีนที่ลี้ภัยอยู่ที่เนเธอร์แลนด์
ทางสำนักข่าวเอพีไม่สามารถจะตรวจสอบข้อมูลว่ามีการติดต่อที่ว่านี้จริงหรือไม่ และทางกระทรวงฯ ก็ไม่ได้ตอบกลับคำถามของสำนักข่าวแต่อย่างใด
นางหลิวและลูกสาวของเธอคือ น.ส.เกาฮั่น เดินทางมาถึงกรุงเทพเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ตามมาด้วยลูกชายทั้งสองของเธอที่มาถึงกรุงเทพในวันที่ 3 ก.ค.
นายเกาเผิงกล่าวว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องมาที่ประเทศไทย ครอบครัวของเขาไม่เคยบอกในเรื่องนี้ว่าทำไมพ่อของเขาต้องออกจากประเทศจีน แม้ว่าเขาเริ่มจะสงสัยว่าอาจจะมีปัญหาบางอย่างกับตำรวจจีน
@บรรดาผู้เห็นต่างและครอบครัวต้องเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ขู่วางระเบิดในต่างแดน
นับตั้งแต่วันที่นายเกาเผิงได้เดินทางมายังประเทศไทย มีคนโทรหาแม่ของเขาและกล่าวว่าตัวนายเกาเผิงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ขู่วางระเบิด
ตามบันทึกของนางหลิว แม่ของนายเกาเผิง ระบุว่าชายผู้ติดต่อกับเธอชื่อว่านายหวังหมิงเซ็น เขาอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่กงสุลประจําสถานเอกอัครราชทูตจีน ณ กรุงเทพมหานคร และนายหวังหมิงเซ็นกล่าวว่า “นายเกาเผิงต้องการที่จะวางระเบิดสถานทูตจีนที่กรุงเทพ ด้วยแรงจูงใจว่าตัวพ่อของเขาถูกตัดสินคดีในประเทศจีน”
ทางสำนักข่าวเอพีได้มีการติดต่อไปยังนายหวังหมิงเซ็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้ แต่เขาตอบกลับมาว่า “เกี่ยวกับสถานการณ์นี้ เราไม่มีข้อมูลที่สามารถจะแบ่งปันให้กับคุณได้เลย”
ทางด้านของนายเกาเผิงกล่าวว่าครอบครัวของเขาได้พยายามรายงานเกี่ยวกับกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ขู่วางระเบิดไปยังตำรวจไทย แต่ต้องรอจนถึงวันที่ 9 ก.ค. กว่าที่จะสามารถหาเจ้าหน้าที่ที่สามารถพูดภาษาจีนได้
นายเกาเผิงบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปว่ามีโทรศัพท์มาหาเขา บอกว่ามีการโทรข่มขู่ไปยังโรงแรมทั่วประเทศรวมไปถึงโรงแรมริทซ์คาร์ลตันและเจดับบลิวแมริออทภูเก็ต และก็มีการบอกว่าเขาและแม้ได้การจองห้องพักที่โรงแรมหลายแห่งในเครือเป็นจำนวนหลายห้อง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับเขาว่าน่าจะเป็นการโทรหลอกลวง และเขาไม่ควรรับโทรศัพท์
ทางพนักงานต้อนรับที่โรงแรมแมริออทในภูเก็ตได้ให้สัมภาษณ์ว่าพวกเขาจะขอให้ฝ่ายการตลาดได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้ ขณะพนักงานที่รีสอร์ทซึ่งอยู่ในเครือโรงแรมริทซ์คาร์ลตันที่ภูเก็ตบอกว่าพวกเขาไม่เคยได้รับสายขู่วางระเบิดแต่อย่างใด
ข้อกล่าวหาดังกล่าวทำให้นายเกาเผิงรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ทำให้เขาไม่พอใจมากด้วยเช่นกันเพราะว่ามีการกล่าวหาที่เขาไม่อาจยอมรับได้
ทางด้านของนายหวังจิงหยู และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเขาอีกสามรายได้อธิบายถึงกรณีที่ชื่อของพวกเขาถูกนำไปเกี่ยวโยงกับข้อกล่าวหาเรื่องผู้ขู่วางระเบิด โดยนายหวังจิงหยูกล่าวว่าเขาถูกสอบถามโดยตำรวจเนเธอร์แลนด์ และได้ข้อสรุปว่าคำขู่เรื่องการวางระเบิดนั้นถูกส่งมาจากไอพีแอดเดสในฮ่องกงและจีน
ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ให้เอกสารและดำเนินการเคลียร์ชื่อให้กับนายหวังจิงหยู
ทางด้านของนายบ็อบ ฟู นักเคลื่อนไหวในสหรัฐฯ ที่ช่วยเหลือนายหวังจิงหยูเมื่อเขาถูกควบคุมตัวในดูไบ กล่าวว่า ตอนนี้เขาต้องแจ้งเตือนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐบาลกลางทุกครั้งที่เดินทางเนื่องจากกรณีเรื่องผู้ขู่วางระเบิด
@แผนการที่ต้องยกเลิกเนื่องจากครอบครัวกลัวว่าจะถูกเนรเทศกลับไปยังประเทศจีน
ประเด็นเรื่องการกล่าวหาว่าเป็นผู้ขู่วางระเบิดนั้นส่งผลทำให้นายเกาจื่อไม่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินให้กับผู้เป็นภรรยาและบุตรได้ เพราะเมื่อเขาได้พยายามซื้อตั๋ว ทางเว็บไซต์สายการบินก็จะปฏิเสธ โดยอ้างว่าพวกเขาอยู่ที่บัญชีดำด้านความปลอดภัยของอียู
ทางสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองและการแปลงสัญชาติของเนเธอร์แลนด์ได้กล่าวว่าหน่วยงานได้พยายามส่งเรื่องการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ขู่วางระเบิดไปยังสนามในยุโรป และช่วยลบชื่อพวกเขาออกจากบัญชีดำแล้ว แต่กระบวนการดำเนินงานนั้นต้องใช้เวลาหลายวัน
และเพราะความล่าช้าดังกล่าว ส่งผลทำให้วีซ่าของนางหลิวและลูกสาวต้องหมดอายุในวันที่ 11 ก.ค. ซึ่งในวันถัดมา เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยก็ได้มาถึงยังโรงแรมที่ครอบครัวพำนักอยู่ และพานางหลิวและลูกสาวไปกักตัว
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้มีการแจ้งให้กับนายเกาจื่อได้รับทราบว่าได้มีการเพิกถอนวีซ่าสำหรับครอบครัวของเขา โดยในอีเมลที่สำนักข่าวเอพีได้รับข้อมูลมานั้น เขียนรายละเอียดระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้ยืนยันกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของเนเธอร์แลนด์ ระบุว่าพวกเขากำลังสอบสวนครอบครัวของนายเกาจื่อในข้อหาว่าขู่วางระเบิด และครอบครัวได้รับสารภาพและอาสาที่จะกลับประเทศจีน
ทว่าสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองของเนเธอร์แลนด์ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้โดยกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้หารือเกี่ยวกับกรณีใดกรณีหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง ขณะสํานักงานตํารวจแห่งชาติของไทยก็ไม่ได้ตอบกลับคําขอแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด
ข้อมูลจากทนายความของนางหลิวชื่อว่านางวริศรา (ไม่ระบุนามสกุล) กล่าวว่านางหลิวถูกตั้งข้อหาว่าพำนักเกินวีซ่า ส่วนลูกสาวของเธอยังไม่ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด
อนึ่งประเทศไทยมีประวัติเรื่องการส่งตัวผู้ลี้ภัยและผู้เห็นต่างกลับสู่ประเทศจีนในช่วงเวลาที่ผ่านมา และในบางครั้งการส่งตัวกลับก็เป็นไปตามคำร้องขอของรัฐบาลจีน
อาคารที่เชื่อกันว่าเป็นที่คุมขังกลุ่มผู้เห็นต่างชาวจีนในกรุงเทพ และเชื่อกันว่าสมาชิกครอบครัวของนายเกาจื่อถูกคุมขังอยู่ที่อาคารแห่งนี้ ด้วยข้อหาเกี่ยวข้องกับการขู่วางระเบิด
“เป็นที่เข้าใจกันดีว่ามีแรงกดดันจากจีนต่อประเทศไทย ทำให้เกิดแรงกดดันไม่น้อยต่อนักเคลื่อนไหวและผู้ขอลี้ภัยชาวจีนในประเทศไทยตามมาด้าน” นายนีกล่าว
เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้บอกกับนางวริศรา ทนายความว่า ทางสถานทูตจีนในไทยได้แสดงความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับคดีนี้
ทางด้านของนายเกาเผิงกล่าวว่า นายเกาจื่อบอกว่าหนึ่งในรายชื่อติดต่อบนแอปพลิเคชั่นเทเลแกรมบอกว่าจะดำเนินการช่วยเหลือให้ในเรื่องนี้ ด้วยการส่งตัวนายเกาเผิงไปยังสถานีตำรวจห้วยขวางในกรุงเทพ ซึ่งที่นั่นเขาจะได้รับรายงานการยุติการสอบสวน ทว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ออกรายงานแต่อย่างใด แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังคืนโทรศัพท์สำหรับครอบครัวให้
ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยยังปฏิเสธที่จะต่อวีซ่าของเกาเผิง โดยกล่าวถึงหมายจับของตํารวจตามบันทึกที่เกิดขึ้น แต่นายเกาเผิงยังไม่ถูกควบคุมตัว
สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้สำหรับครอบครัวของนายเกาก็ยังเป็นความไม่แน่นอน
ทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์กล่าวกับนายเกาจื่อ ว่า สมาชิกครอบครัวของเขาจะได้วีซ่าเนเธอร์แลนด์ หากสามารถได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และเดินทางไปถึงเนเธอร์แลนด์ได้ และทางนายเกาจื่อ ก็กำลังเขียนคำร้องขอความกรุณาต่อรัฐบาลไทยและเนเธอร์แลนด์อยู่
“ผมคิดว่าผมกำลังช่วยพวกเขา” นายเกาจื่อกล่าวและกล่าวต่อว่า “ผมไม่คิดเลยว่าผมกำลังส่งพวกเขาเข้าคุกไทย”
เรียเรียงเนื้อหาและรูปภาพจาก:https://apnews.com/article/china-thailand-dissident-bomb-threats-human-rights-c5a539d4e30857516d475aa1bfc3bb7e