"...จุดเริ่มต้นของคดีนี้นั้น เกิดขึ้นจากการที่มีเอกชนเข้าร้องเรียนต่อป.ป.ท. กล่าวหาว่า มีข้าราชการกรมสรรพากร เรียกรับเงินจากการทำเรื่องขอคืนภาษี โดยระบุว่า ถ้าไม่จ่ายก็ได้คืนภาษีช้า ทั้งปีปัจจุบันและปีต่อๆ ไปด้วย..."
นางสาวสุวรรณี ศรีรัศมี จำเลยที่ 1 นางสาววรดาภัค หรือพัชรินทร์ อรัญมะโน จำเลยที่ 2 นายอาคม คงพันธ์ จำเลยที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 149 (เดิม), พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 149 (เดิม) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด
จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 5 ปี
ขณะที่ นายอาคม คงพันธ์ จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน
คือ คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ในคดีกล่าวหา นางสาวสุวรรณี ศรีรัศมี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสรรพากรพื้นที่สมุทรปราการ 3 อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ กับพวก คือ นางสาววรดาภัค หรือพัชรินทร์ อรัญมะโน นายอาคม คงพันธ์ ทุจริตเรียกรับเงินค่าดำเนินการในการขอคืนภาษีอากร ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ 157 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ.2561 มาตรา 192 ประกอบ ป.อ.มาตรา 83 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา
ที่สำนักข่าวอิศรา นำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับคดีนี้ ก่อนที่ศาลฯ จะมีคำพิพากษาตัดสินดังกล่าว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เคยติดตามนำเสนอข้อมูลเชิงลึกมาแล้ว
ประมวลสรุปข้อมูลได้ดังนี้
@ จุดเริ่มต้นคดี
ในช่วงเดือน ต.ค.2558 เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางแก้ว ได้ร่วมกันจับกุม น.ส.สุวรรณี ศรีรัศมี ตำแหน่งสรรพกรพื้นที่สมุทรปราการ 3 (ระดับ 9) และ น.ส.พัชรินทร์ อรัญมะโน นักตรวจสอบภาษีชำนาญการ 2 ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการ หรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ พร้อมด้วยของกลาง ธนบัตร เงินสด ใบละ 1,000 บาท จำนวน 150 ใบ เป็นเงิน 150,000 บาท
เป็นผลสืบเนื่องจาก พ.ต.อ.พีรพล โชติกเสถียร ผกก.สภ.บางแก้ว ในขณะนั้น ได้รับการประสานจาก พ.ต.ท. สิริพงษ์ ศรีตุลา ผอ.สำนักปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ 2 สำนักงาน ป.ป.ท. ว่า มีเจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่สมุทรปราการ 3 มีการเรียกรับเงินค่าตอบแทนในการอำนวยความสะดวกขอคืนภาษี จึงได้วางแผนเข้าทำการจับกุมโดยนำเงินสดของกลาง จำนวน 150,000 บาท มาลงบันทึกประจำวันที่ สภ.บางแก้ว
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. จึงได้เดินทางไปที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สมุทรปราการ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมกับผู้เสียหายได้นำเงินจำนวนดังกล่าวเข้าไปในห้องของเจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่สมุทรปราการ 3 เพื่อชำระให้แก่ น.ส.สุวรรณี และ น.ส.พัชรินทร์
@ เงินสดกลางสอดอยู่ในแฟ้ม
ผลการตรวจสอบภายในห้องสรรพากรพื้นที่สมุทรปราการ 3 พบของกลางสอดอยู่ในแฟ้ม ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะของเจ้าหน้าที่สรรพากร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. จึงได้ตรวจยึดของกลางดังกล่าวพร้อมกับเชิญตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนมาที่ สภ.บางแก้วเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงขณะนั้น ยังไม่ชี้ชัดว่า สรรพากรพื้นที่สมุทรปราการ 3 กระทำผิดหรือไม่
เนื่องจากช่วงเย็นลูกน้องได้นำแฟ้มเอกสารและซองใส่ธนบัตรอยู่ในแฟ้มนำเข้ามาไว้ในห้องทำงาน และน.ส.สุวรรณี ไม่รู้ ไม่ได้เปิดแฟ้มออกดูเพราะกำลังเลิกงาน
กลับถูกจับกุม
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า น.ส.สุวรรณี อุปนิสัยเป็นเงียบๆไม่สุงสิงกับใคร ส่วนผู้ประกอบการรายนี้ได้ยื่นขอคืนภาษีมาแล้ว 2 ครั้ง ๆละกว่า 1 ล้านบาท
@ ขู่ ถ้าไม่จ่ายก็ได้คืนภาษีช้า
ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงจาก ป.ป.ท. ให้ข้อมูลยืนยันสำนักข่าวอิศรา ว่า จุดเริ่มต้นของคดีนี้นั้น เกิดขึ้นจากการที่มีเอกชนเข้าร้องเรียนต่อป.ป.ท. กล่าวหาว่า มีข้าราชการกรมสรรพากร เรียกรับเงินจากการทำเรื่องขอคืนภาษี โดยระบุว่า ถ้าไม่จ่ายก็ได้คืนภาษีช้า ทั้งปีปัจจุบันและปีต่อๆ ไปด้วย
"เอกชนเขาเดือนร้อน เขาทำธุรกิจถูกต้อง ต้องการได้เงินภาษีคืน เพื่อนำไปหมุนเวียนเป็นทุนในการทำธุรกิจต่อ เมื่อมาถูกเรียกเก็บเงินจึงไม่พอใจมาก ตอนแรกวงเงินที่ขอมามากกว่า 1.5 แสนล้าน แต่ต่อรองกันไปกันมา ก็มาจบที่ตัวเลข 1.5 แสน ทาง ป.ป.ท.จึงวางแผนร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเข้าทำการจับกุมตามที่ปรากฎเป็นข่าวในที่สุด" แหล่งข่าวจาก ป.ป.ท.ระบุ
@ สรรพากรตั้งคกก.สอบข้อเท็จจริง
หลังปรากฏข่าว น.ส.สุวรรณี ศรีรัศมี และ น.ส.พัชรินทร์ อรัญมะโน นักตรวจสอบภาษีชำนาญการ 2 ถูกจับกุมตัว ในข้อหาเรียกรับเงินดังกล่าว ผู้บริหารกรมสรรพากรในขณะนั้น มีการเสนอเรื่องต่อปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเป็นทางการ
ก่อนที่ น.ส.สุวรรณี จะเกษียณอายุราชการช่วงเดือนมี.ค.2559
ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมสรรพากร ให้ข้อมูลยืนยันสำนักข่าวอิศรา ว่า เกี่ยวกับการสอบสวนคดีนี้ กระทรวงการคลัง มีคำสั่งลงโทษไล่นางสุวรรณีฯ ออกจากราชการ แล้ว ส่วนกรมสรรพากร ก็มีคำสั่งลงโทษไล่นางสาววรดาภัคหรือพัชรินทร์ฯ ออกจากราช เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2564 ไปแล้วเช่ากัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)
จากนั้น เรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั่ง มีคำตัดสินศาลฯ มีคำพิพากษาดังกล่าวออกมา
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับคดีนี้ สำนักข่าวอิศรารายงานไปแล้ว คดียังไม่สิ้นสุด จำเลยทั้งหมด มีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
ขณะที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2566 ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว
ถ้าฝ่ายจำเลย ไม่อุทธรณ์สู้ คดีก็คงเป็นที่สิ้นสุด
แต่ไม่ว่าผลคดีจะออกมาเป็นอย่างไร กรณีนี้นับเป็นอีกหนึ่งคดีตัวอย่าง ไม่ให้ข้าราชการเจ้าหน้าที่รัฐ เดินย้ำซ้ำรอย เอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทั้งในปัจจุบันและอนาคตสืบไป