"...พิเคราะห์ข้อเท็จจริงในสํานวนไต่สวนประกอบรายงานการสืบเสาะและพินิจของจําเลยแล้ว เห็นว่าจําเลยไม่เคยต้องโทษจําคุกมาก่อน ไม่ปรากฏว่าจําเลยได้รับประโยชน์ส่วนตัวในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินหรือ ประโยชน์อื่นใด อีกทั้งจําเลยได้รับโทษทางวินัยโดยถูกไล่ออกจากราชการแล้วอันเป็นผลร้ายแก่จําเลยส่วนหนึ่ง กรณีมีเหตุอันควรปราณีเพื่อให้โอกาสจําเลยกลับตนเป็นพลเมืองดีสักครั้ง..."
จำคุก 6 ปี และปรับ 100,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชนแ์ก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่ง
คงจำคุก 3 ปีและปรับ 50,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี
คือ บทสรุป คำพิพากษา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ที่ตัดสินลงโทษ นางปวีณา ไชยชมภู อดีตเจ้าหน้าที่พัสดุ เทศบาลตำบลหลุมดิน อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ในคดีกล่าวหา เผยแพร่ประกาศประกวดราคาโครงการประกวดราคาจ้างปรับปรุงถนนผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็กสายบ้านโคกขิง หมู่ที่ 4 ในระบบ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาขอรับ/ซื้อ เอกสารประมูลจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 162 (1), (4) และ พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 7 และมาตรา 12
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมลงมติเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ไม่เห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 เห็นควรอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว
ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา สืบค้นข้อมูลพบว่า เกี่ยวกับคดีของ นางปวีณา ไชยชมภู อดีตเจ้าหน้าที่พัสดุ เทศบาลตำบลหลุมดิน อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี พบว่า อัยการสูงสุด มีความเห็นที่จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 แล้ว
เนื่องจากเห็นว่า จําเลยไม่เคยต้องโทษจําคุกมาก่อน ไม่ปรากฏว่าจําเลยได้รับประโยชน์ส่วนตัวในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินหรือ ประโยชน์อื่นใด อีกทั้งจําเลยได้รับโทษทางวินัยโดยถูกไล่ออกจากราชการไปแล้ว
โดยคำชี้แจงเหตุผลที่อัยการสูงสุด ไม่อุทธรณ์คดีนี้ ระบุว่า คดีนี้ อัยการสูงสุดมีคําสั่งรับดําเนินคดีอาญาฟ้อง โดยมอบหมายให้พนักงานอัยการ สํานักงาน อัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ขอให้ลงโทษจําเลย ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 157, 162 (1) (4), พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 7, 12
จําเลยให้การปฏิเสธ ในระหว่างพิจารณาจําเลยขอถอนคําให้การเดิมที่ปฏิเสธเป็นรับสารภาพ
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 พิพากษาเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2565 ว่าจําเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 162 (1) (4) (เดิม) พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 และพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 7, 12 การกระทําของจําเลยเป็นกรรม เดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดกระทําความผิดตาม พระราชบัญญัตินี้ หรือกระทําการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออํานวยแก่ผู้เข้า ทําการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษจําคุก 5 ปี และปรับ 900,000 บาท จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจําคุก 3 ปี และปรับ 50,000 บาท
พิเคราะห์ข้อเท็จจริงในสํานวนไต่สวนประกอบรายงานการสืบเสาะและพินิจของจําเลยแล้ว เห็นว่าจําเลยไม่เคยต้องโทษจําคุกมาก่อน ไม่ปรากฏว่าจําเลยได้รับประโยชน์ส่วนตัวในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินหรือ ประโยชน์อื่นใด อีกทั้งจําเลยได้รับโทษทางวินัยโดยถูกไล่ออกจากราชการแล้วอันเป็นผลร้ายแก่จําเลยส่วนหนึ่ง กรณีมีเหตุอันควรปราณีเพื่อให้โอกาสจําเลยกลับตนเป็นพลเมืองดีสักครั้ง
โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหา อื่นนอกจากนี้ให้ยก
ขณะที่ อัยการสูงสุด พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลใช้ดุลพินิจให้รอการลงโทษจําคุกจําเลยไว้ 2 ปี โดยพิเคราะห์ข้อเท็จจริงประกอบ รายงานการสืบเสาะและพินิจแล้วเห็นว่า จําเลยไม่เคยต้องโทษจําคุกมาก่อน และไม่ปรากฏว่าจําเลยได้รับ ประโยชน์ส่วนตัวในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด อีกทั้งจําเลยได้รับโทษทางวินัยโดยถูกไล่ออกจาก ราชการแล้วอันเป็นผลร้ายแก่จําเลยส่วนหนึ่ง มีเหตุอันควรปราณีเพื่อให้โอกาสจําเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี
จึงเป็นการใช้ดุลพินิจกําหนดโทษชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ไม่อุทธรณ์คําพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7
ทั้งนี้ ในการเผยแพร่ความเห็น อัยการสูงสุด ที่จะไม่อุทธรณ์คําพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ได้มีการแนบคำพิพากษาคำตัดสินคดีนี้ของ คําพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 มีการระบุพฤติการณ์การกระทำความผิดของ นางปวีณา ไชยชมภู อดีตเจ้าหน้าที่พัสดุ เทศบาลตำบลหลุมดิน อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เอาไว้ด้วย
รายละเอียดเป็นอย่างไร สำนักข่าวอิศรา จะขอนำมาเสนอในตอนต่อไป