อย่างไรก็ตาม ทางไกด์ทัวร์ได้แนะนำว่าเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นนั้นยังคงมีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งแม้ว่าในตอนนี้สายพันธุ์ของไวรัสจะทำให้ความรุนแรงของโรคนั้นลดลง ผนวกกับ ประชากรของญี่ปุ่นส่วนมากก็ได้รับภูมิคุ้มกันทั้งจากวัคซีนและจากการติดเชื้อไปแล้ว แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงมีผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ในหลักหมื่น ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงควรที่จะสวมใส่หน้ากากและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด
หนึ่งในความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับปลดล็อกสถานการณ์โควิด-19 ที่คนไทยให้ความสนใจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นการที่ประเทศญี่ปุ่นได้เปิดประเทศ ยกเว้นวีซ่าระยะสั้นให้กับคนไทยนับตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา
ทำให้ภาพเคาท์เตอร์เช็คอินผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นนั้นกลับมาคราคร่ำอีกครั้งหนึ่ง
จากความเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้น ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ซึ่งมีโอกาสเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเดินทางแบบมีไกด์ทัวร์ จึงได้นำเอารายละเอียดเกี่ยวกับการเตรียมตัวเข้าประเทศญี่ปุ่นมานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
1.ขั้นตอนการลงทะเบียน
แอปพลิเคชั่นที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเข้าประเทศญี่ปุ่น ณ เวลานี้ก็คือแอปพลิเคชั่นที่ชื่อว่า My SOS ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากทั้งแพลตฟอร์ม IOS และ Play Store (ดูภาพประกอบ)
โดยหลังจากการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นไปแล้ว ในหน้าจอของแอปพลิเคชั่นจะมีการให้กรอกข้อมูลส่วนตัวที่จำเป็นต่างๆ อาทิเช่นข้อมูลกรุ๊ปเลือด ข้อมูลทางด้านสุขภาพ ข้อมูลประวัติการฉีดวัคซีนของนักท่องเที่ยว ข้อมูลเกี่ยวกับการกักตัวของเรา ซึ่งรายละเอียดในส่วนนี้นั้น แนะนำว่าให้กรอกข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมที่ันักท่องเที่ยวจะเดินทางไปพัก
การกรอกข้อมูล เกี่ยวกับประวัติสุขภาพ
ถ้าหากกรอกข้อมูลเสร็จแล้ว หน้าจอแอปพลิเคชั่นนั้นจะเป็นสีน้ำเงิน
2.ขั้นตอนการปฏิบัติตัวที่สนามบิน
ข้อมูลจากไกด์ทัวร์ระบุว่าสิ่งแรกที่นักท่องเที่ยวควรจะกระทำเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินที่ประเทศญี่ปุ่น ก็คือการต่ออินเตอร์เน็ต หรือว่าต่อไวไฟฟรีของสนามบินให้เร็วที่สุด เนื่องจากว่าที่สนามบินในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานสาธารณสุขคอยตรวจสอบข้อมูลคิวอาร์อยู่เป็นระยะ (ดูภาพประกอบ)
เจ้าหน้าที่จะคอยตรวจหน้าจอจากแอปพลิเคชั่น My SOS
โดยหลังจากที่มีการเก็บข้อมูลจากแอปพลิเคชั่นแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่อีกส่วนแนะนำให้นักท่องเที่ยวกรอกข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพ รวมไปถึงประวัติการฉีดวัคซีน ซึ่งในปัจจุบันนั้นประเทศญี่ปุ่นให้สิทธิ์เข้าประเทศเฉพาะกับผู้ที่ฉีดวัคซีนประเภท mRNA ได้แก่ยี่ห้อไฟเซอร์และโมเดอร์นา วัคซีนประเทภไวรัลเวกเตอร์ได้แก่ยี่ห้อแอสตร้าเซนเนก้า และวัคซีนโนวาแวกซ์ คิดเป็นประมาณรวมสามโดสเท่านั้น
การกรอกข้อมูลทางด้านสุขภาพอีกครั้งหนึ่ง
โดยในกระบวนการกรอกข้อมูลทางด้านสุขภาพ พบว่าถ้าหากยังไม่มีการฉีดวัคซีนตามที่ระบุไว้เป็นจำนวนสามโดส เจ้าหน้าที่จะนำนักท่องเที่ยวคนดังกล่าวไปตรวจ RT-PCR ทันที ซึ่งการตรวจ RT-PCR จนถึงรอผลนั้นจะใช้เวลาประมาณไม่เกินหนึ่งชั่วโมง
พอหลังจากผ่านการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพ เจ้าหน้าที่จะให้เอกสารสีฟ้ามาชุดหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องเอาเอกสารที่ว่านี้ไปให้กับเจ้าหน้าที่ที่ตรวจหนังสือเดินทาง
โดยขั้นตอนการตรวจสุขภาพดังกล่าวนี้จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ถ้าหากไม่รวมกับการตรวจตรวจ RT-PCR
3.ขั้นตอนการใช้ชีวิตในประเทศญี่ปุ่น
โดยภายหลังจากที่ผ่านการตรวจคัดกรองแล้ว เมื่ออยู่ในญี่ปุ่นต่อไปอีกเป็นระยะเวลาสามวัน แอปพลิเคชั่น My SOS จะส่งข้อมูลยืนยันว่าเข้าสู่วันสุดท้ายของการกักตัวแล้ว และสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอาการของนักท่องเที่ยว ก็ให้กรอกข้อมูลลงไปตามความเป็นจริง เป็นอันเสร็จกระบวนการตรวจคัดกรองโรคเพื่อเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ทางไกด์ทัวร์ได้แนะนำว่าเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นนั้นยังคงมีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งแม้ว่าในตอนนี้สายพันธุ์ของไวรัสจะทำให้ความรุนแรงของโรคนั้นลดลง ผนวกกับ ประชากรของญี่ปุ่นส่วนมากก็ได้รับภูมิคุ้มกันทั้งจากวัคซีนและจากการติดเชื้อไปแล้ว แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงมีผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ในหลักหมื่น ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงควรที่จะสวมใส่หน้ากากและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด
ผู้คนในกรุงโตเกียวยังคงสวมใส่หน้ากากขณะใช้บริการรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียว