"...จากการทดสอบวัคซีนกับเด็กจำนวนหลายพันคน พบว่ามีผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงในระดับที่ใกล้เคียงกันเช่นเดียวกับในกลุ่มอายุที่มากขึ้น และกระตุ้นระดับแอนติบอดีที่ใกล้เคียงกันด้วย ส่วนประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อนั้นสูงขึ้น สำหรับไฟเซอร์อยู่ที่ 80% เมื่อเทียบกับโมเดอร์นา ประมาณการไว้อยู่ที่ 51% สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ขวบ และ 37% สำหรับที่มีอายุ 2-5 ปี..."
เป็นเวลาเกือบจะ 3 ปีแล้วที่เราเผชิญกับวิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัสวิด-19 วัคซีนเป็นเสมือนอาวุธในหยุดยั้งกับเชื้อไวรัสเหล่านี้ โดยที่ผ่านมาการอนุมัติใช้วัคซีนและยากเป็นการอนุมัติเพื่อการใช้ในสภาวะฉุกเฉิน เพราะโควิด ถือเป็นเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ดังนั้นการอนุมัติวัคซีนในช่วงแรกจึงเป็นการอใช้วัคซีนส่วนใหญ่จึงอนุญาตให้ใช้ในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น ต่อมามีการคิดค้นและทดลองผลการศึกษายืนยันว่ามีความปลอดภัยสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12-17 ปี ทำให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่คลายความกังวลไปได้บ้าง เมื่อถึงเวลาที่เด็กๆ จะได้กลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน และได้มีการขยายไปถึงกลุ่มเด็กเล็กอายุตั้งแต่ 5-11 ปี โดยลดขนาดในการฉีดตามลำดับ
สำหรับกลุ่ม ‘ทารกและเด็กเล็ก’ ที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงและน่ากังวล แม้ว่าจะมีรายงานว่าการติดเชื้อในเด็กนั้นไม่รุนแรงเท่าผู้ใหญ่ก็ตาม แต่เพราะยังไม่มีวัคซีนที่มีผลการศึกษาเพียงพอว่าปลอดภัยสำหรับเด็กเล็กๆ เหล่านี้ จึงมีความเสี่ยงว่าหากติดเชื้ออาจจะรุนแรงจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตและมีผลข้างเคียงในระยะยาวได้
ที่ผ่านมาในต่างประเทศ เช่น คิวบา และจีน มีรายงานการฉีดวัคซีนให้กับเด็กเล็กอายุ 2 ขวบ โดยเป็นการฉีดวัคซีนโควิดชนิดเชื้อตาย
- ส่องสถานการณ์ทั่วโลกกับ 'การฉีดวัคซีนโควิดในเด็ก'
- ส่องสถานการณ์ทั่วโลกกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ได้อนุญาตให้ฉีดวัคซีนโควิดสำหรับเด็กทารก และเด็กวัยก่อนเข้าเรียน 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนโมเดอร์นา สำหรับเด็กอายุระหว่าง 6 เดือน- 5 ปี โดยฉีดจำนวน 2 โดส และวัคซีนไฟเซอร์ สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 6 เดือน - 4 ปี โดยฉีดจำนวน 3 โดส
นายโรเบิร์ต คาลิฟฟ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ กล่าวว่า การดำเนินการนี้จะช่วยปกป้องเด็กที่อายุ 6 เดือน และคาดหวังว่า วัคซีนสำหรับเด็กเล็กจะช่วยป้องกันผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุดจากโควิด-19 เช่น อาการรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต นอกจากนี้ ยังมีรายงานการติดเชื้อและเข้ารักษาตัวเพิ่มขึ้นในโรงพยาบาล และ ICU ในเด็กเล็กเนื่องจากระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน
ทางด้านสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (AAP) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ได้ให้แนะนำให้ผู้ปกครองพาเด็กกลุ่มอายุ 6 เดือน - 5 ปี เข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด เพราะจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อลดผลกระทบจากการระบาดใหญ่นี้
โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า ทันทีที่ FDA ตัดสินใจอนุมัติการฉีดวัคซีนในเด็กกลุ่มช่วงวัยดังกล่าว ก็พร้อมจัดส่งวัคซีนโควิด-19 กว่า 10 ล้านโดสไปทั่วประเทศ
"มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วประเทศเสียชีวิตจากโควิดไปแล้วราว 440 ราย นับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่มาเมื่อกว่า 2 ปีก่อน" ข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุ
Moderna
สำหรับความแตกต่างของวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา คือ จำนวนโดสในการฉีดให้ครบคอร์ส และช่วงอายุของผู้ที่รับวัคซีน
วัคซีนไฟเซอร์ ใช้ในเด็กอายุ 6 เดือน – 4 ปี โดยจะเว้นระยะห่างการฉีด 3-8 สัปดาห์สำหรับ 2 โดสแรก และห่างอีก 8 สัปดาห์สำหรับโดสที่ 3 ส่วนขนาดโดสในการฉีด 3 ไมโครกรัม ซึ่งเป็นเพียง 1 ใน 10 โดสสำหรับผู้ที่อายุ 12 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ในการทดสอบช่วงแรกโดย ได้กำหนดใช้วัคซีน 2 โดส และเพิ่มขึ้นมาเป็น 3 โดส เนื่องจากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน จึงศึกษาและพบว่า หากฉีด 3 โดส จะมีประสิทธิภาพมากกว่าในการป้องกันการติดเชื้อและอาการรุนแรง
ส่วนวัคซีนโมเดอร์นา ใช้ในเด็กอายุระหว่าง 6 เดือน – 5 ปี จะต้องได้รับวัคซีน 2 เข็ม โดยเว้นระยะห่าง 4-8 สัปดาห์ ปริมาณ 25 ไมโครกรัม ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของขนาดวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่ จากการทดสอบพบว่า การฉีดวัคซีน 2 โดส มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้อยู่ในช่วงกำลังศึกษาวัคซีนโดสที่ 3 และมีความเป็นไปได้ว่าว อาจพิ่มการฉีดวัคซีนเป็น 3 โดสเช่นเดียวกัน
Pfizer
จากการทดสอบวัคซีนกับเด็กจำนวนหลายพันคน พบว่ามีผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงในระดับที่ใกล้เคียงกันเช่นเดียวกับในกลุ่มอายุที่มากขึ้น และกระตุ้นระดับแอนติบอดีที่ใกล้เคียงกันด้วย ส่วนประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อนั้นสูงขึ้น สำหรับไฟเซอร์อยู่ที่ 80% เมื่อเทียบกับโมเดอร์นา ประมาณการไว้อยู่ที่ 51% สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ขวบ และ 37% สำหรับที่มีอายุ 2-5 ปี
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา ต่างได้รับการอนุมัติและรับรองความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพแล้วจาก FDA และวัคซีนยังถือเป็นสิ่งจำเป็นในการต่อสู้กับการระบาดของเชื้อไวรัสนี้
สำหรับประเทศไทย วัคซีนสำหรับเด็กเล็กที่คาดการณ์ว่าจะนำมาใช้ มี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิด mRNA และชนิดเชื้อตาย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2565 คณะอนุกรรมการพิจารณาการขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนปัจจุบันสำหรับมนุษย์ที่เป็นวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้มีมติเห็นชอบการขยายขอบเขตข้อบ่งใช้ของวัคซีนโคเมอร์เนตี (COMIRNATY VACCINE) ของบริษัท ไฟเซอร์ จำกัด สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน-น้อยกว่า 5 ปี ขวดฝาจุกสีม่วงแดง (Maroon Cap) แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับอนุญาตให้ใช้วัคซีนสำหรับกระตุ้นภูมิในผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป และมีการขยายอายุให้ใช้ในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี
ส่วนความคืบหน้าการยื่นขออนุญาตวัคซีนเชื้อตาย (Sinovac) สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีนั้น ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมยื่ได้นเอกสารประกอบการพิจารณาไปที่ อย. คาดว่าใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือนในการพิจารณา
ทั้งหมดนี้คือความคืบหน้าวัคซีนป้องกันโควิดสำหรับกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน – 5 ปี ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีสำหรับเด็กเล็กที่จะมีวัคซีนสำหรับป้องกันการติดเชื้อแล้ว เพราะมีการคาดการณ์ว่าเชื้อไวรัสโควิดจะยังอยู่กับเราไปตลอด ฉะนั้นจะต้องปรับตัวและอยู่ร่วมกับมันให้ได้
รวบรวมจาก: