การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของโควิดในสายพันธุ์ที่ยังอยู่บนแขนงของโอไมครอนนั้นจะช่วยให้เราสามารถเตรียมตัวและเตรียมแผนที่เหมาะสมได้ เพราะในช่วงสองปีที่ผ่านมา โควิด-19 นั้นมาในรูปแบบที่คาดเดาไม่ได้ นับตั้งแต่สายพันธุ์อัลฟ่า,เบต้า,เดลต้า และโอไมครอน ซึ่งการกลายพันธุ์ดังกล่าวนั้นไม่สามารถให้ความชัดเจนได้เลยว่าไวรัสที่กลายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวนั้นจะเหมือนกับสายพันธุ์ก่อนหน้านี้อย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าหากไวรัสนั้นมีการวิวัฒนาการไปในรูปแบบที่คาดการณ์ได้ ดังเช่นรูปแบบที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ มันก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายตามไปด้วยในการวางแผนสำหรับวัคซีนตัวใหม่ เพื่อจะรองรับกับไวรัสที่จะพัฒนาต่อไป
ข่าวการระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัสในปัจจุบันนั้นทำให้ผู้ที่รับรู้ข่าวต่างล้วนมีความรู้สึกไปในทิศทางเดียวกันว่าภาวะการระบาดของไวรัสโควิด-19 ณ เวลานี้ คงเป็นเรื่องยากที่การระบาดนั้นจะยุติลงจนนำไปสู่การใช้ววิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกับภาวะก่อนที่จะเกิดโรคระบาดได้ เพราะมักจะมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญจากทางสหรัฐอเมริกานั้นได้มีการวิเคราะห์กันว่าการกลายพันธุ์ต่างๆที่ปรากฎเป็นข่าวในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ โดยเฉพาะต่อกรณีการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนนั้น อาจจะกลายเป็นข่าวดีที่เกิดขึ้นในข่าวร้ายก็เป็นไปได้
ส่วนสาเหตุว่าทำไมข่าวดังกล่าวนั้นถึงว่าเป็นข่าวดี สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำรายงานของสำนักข่าว Business Insider มานำเสนอ ณ ที่นี่
จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาล่าสุดนั้นมีรายงานว่าทำให้ทางนครนิวยอร์กต้องยกเลิกการแสดงละครเวทีบรอดเวย์ออกไปเพราะว่ามีนักแสดงที่ติดเชื้อ และทางเมืองยังได้มีคำสั่งให้ผู้ที่อยู่อาศัยนั้นต้องสวมใส่หน้ากากอยู่เสมอถ้าหากจะต้องเดินทาง
โดยที่ไปที่มาของสถานการณ์ดังกล่าวนั้นก็มาจากการวิวัฒนาการของไวรัสโควิด-19 จนทำให้เกิดสายพันธุ์โอไมครอนขึ้นมา
และนอกเหนือจากนครนิวยอร์กแล้ว ก็พบว่าเมืองอื่นๆในฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา อาทิ กรุงวอชิงตันดีซี และเมืองบอสตันก็ต้องพบกับกรณีการติดเชื้อเป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งในกรณีนี้ส่งผลทำให้เมืองฟิลาเดลเฟียต้องมีการบังคับให้มีการสวมใส่หน้ากากกันอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่ร่มแล้ว
โดยปัจจุบันนั้นอัตราการติดเชื้อโควิดในสหรัฐฯ แม้ว่าจะต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงแรกๆที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลบันทึกที่เก็บได้จากน้ำทิ้งต่างๆ นั้นบ่งชี้ให้เห็นถึงอัตราการหนุมเวียนของไวรัสโควิด-19 ที่ไหลเวียนอยู่ในชุมชน และมีความเป็นไปได้ว่าข้อมูลการหมุนเวียนของเชื้อโควิดนั้นอาจจะกลับไปสู่จุดสูงที่สุดนับตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในหลายพื้นที่ทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ
การระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ส่งผลทำให้นครนิวยอร์กตออกมาตรการให้มีการใส่หน้ากากอีกครั้งหนึ่ง (อ้างอิงวิดีโอจาก CBS New York)
ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากอันเนื่องมาจากไวรัสโควิดโอไมครอนในสายพันธุ์ย่อยต่างๆที่ปรากฎเป็นข่าวไปแล้ว ซึ่งไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นถูกพบครั้งแรกในสหรัฐฯในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้ข่าวคราวเกี่ยวกับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะฟังดูร้ายแรง โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของการวิวัฒนาการของไวรัส แต่อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติแต่อย่างใด เพราะไวรัสนั้นมักมีการผสมผสานและทำสำเนาตัวเองตลอดเวลาอยู่แล้ว
และยิ่งไปกว่านั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ได้มองว่าการวิวัฒนาการของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นดังกล่าวก็อาจเป็นข่าวดีก็เป็นได้ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณว่าไวรัสนั้นกำลังเดินหน้าไปสู่วิถีทางที่สามารถคาดเดาได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
@โควิดสายพันธุ์ย่อยโอไมครอนที่ควรรับรู้ตั้งแต่ BA.2 ไปจนถึง XE
จากข้อมูลทั่วโลกพบว่าประเทศต่างๆอย่างประเทศบอตสวานา,เบลเยียมฐและเดนมาร์กมีการพบโควิดย่อยของสายพันธุ์โอไมครอนอื่นๆ อาทิ BA.3,BA.4 และ BA.5
ขณะที่สหราชอาณาจักรเองก็พบว่ามีกรณีที่ผู้ติดเชื้อนั้นพุ่งสูงขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา,ซึ่งจากากรติดตามข้อมูลไม่นานมานี้ก็พบกับกรณีการผสมกับของเชื้อโควิดสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนได้แก่ BA.1 และ BA.2 โดยสายพันธุ์ดังกล่าวนั้นถูกเรียกว่าสายพันธุ์ XE ทว่าก็มีแค่ผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ XE เพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ตรวจพบในตอนนี้ซึ่งก็รวมไปถึงที่สหรัฐฯด้วยเช่นกัน
ในสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้ออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าสายพันธุ์ของไวรัสโควิดที่มีความแพร่หลายมากที่สุดนั้นก็คือโควิดสายพันธุ์ย่อยโอไมครอน BA.2 โดยมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวอยู่ที่ 85 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศทั้งหมด
@ทำไมโควิดสายพันธุ์ย่อยโอไมครอนถึงไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายเสมอไป
การพัฒนาของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นถือว่ามีความแตกต่างจากสายพันธุ์ของไวรัสโควิดก่อนหน้านี้ที่เราเห้นในช่วงของการระบาด โดยการเกิดขึ้นของสายพันธุ์ใหม่ๆนั้นจะเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยว่าสายพันธุ์ใหม่จะเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
แต่เนื่องจากในตอนนี้โควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นกลายเป็นสายพันธุ์ที่มีการระบาดเป็นหลักไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่แม้จะยังเตือนให้มีเฝ้าระวังอยู่ แต่ก็เริ่มที่จะมองโลกในแง่ดีแล้วว่าการวิวัฒนาการของไวรัสโควิด-19 นั้นจะยังคงอยู่บนแขนงของสายพันธุ์โอไมครอน อย่างน้อยก็อีกสักพักหนึ่ง
โดย ณ เวลานี้สายพันธุ์ย่อยโอไมครอนที่มีการค้นพบขึ้นใหม่นั้นพบว่ามีศักยภาพในการแพร่เชื้อได้ดีกว่าเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ BA.1 ซึ่งนี่ทำให้สายพันธุ์ย่อยต่างๆนั้นมีความได้เปรียบในส่วนแบ่งของไวรัส ทว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวนั้นก็ยังไม่พบข้อมูลว่ามีความอันตรายกับประชาชนมากกว่า และมีอาการอื่นๆที่แตกต่างออกไปจากเดิมแต่อย่างใด หรือก็คือไวรัสพวกนี้ยังคงเป็นญาติกับโอไมครอนนั่นเอง
ขณะที่ พญ.เคทลิน เจทีลิน่า นักระบาดวิทยาก็ได้เคยกล่าวเอาไว้ในวารสารของเธอเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่ากรณีการพัฒนาการของไวรัสอย่างต่อเนื่องซึ่งยังอยู่ในแขนงของสายพันธุ์โอไมครอนนั้นอาจจะเป็นข่าวดีก็ได้ ด้วยเหตุผลสำคัญสองประการ
1.ณ เวลานี้การติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นดูเหมือนว่าจะสามารถให้ภูมิคุ้มกันชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพต่อต้านโอไมครอนสายพันธุ์อื่นๆได้ ซึ่งนี่หมายความว่านับตั้งแต่มีการติดเชื้อมากกว่าครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯเป็นสายพันธุ์โอไมครอน เราก็อาจจะได้พักจากการเห็นตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นไปอย่างน้อยในช่วงไม่กี่เดือนหลังจากนี้
2.การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของโควิดในสายพันธุ์ที่ยังอยู่บนแขนงของโอไมครอนนั้นจะช่วยให้เราสามารถเตรียมตัวและเตรียมแผนที่เหมาะสมได้ เพราะในช่วงสองปีที่ผ่านมา โควิด-19 นั้นมาในรูปแบบที่คาดเดาไม่ได้ นับตั้งแต่สายพันธุ์อัลฟ่า,เบต้า,เดลต้า และโอไมครอน ซึ่งการกลายพันธุ์ดังกล่าวนั้นไม่สามารถให้ความชัดเจนได้เลยว่าไวรัสที่กลายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวนั้นจะเหมือนกับสายพันธุ์ก่อนหน้านี้อย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าหากไวรัสนั้นมีการวิวัฒนาการไปในรูปแบบที่คาดการณ์ได้ ดังเช่นรูปแบบที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ มันก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายตามไปด้วยในการวางแผนสำหรับวัคซีนตัวใหม่ เพื่อจะรองรับกับไวรัสที่จะพัฒนาต่อไป
ความสัมพันธ์ของไวรัสโควิด-19 ต่างๆที่ปรากฎว่ามีการกลายพันธุ์
โดย ณ เวลานี้สิ่งที่เรารู้แน่ชัดก็คือว่าโควิดกว่า 99.2 เปอร์เซ็นต์ที่ระบาดไปทั่วโลกนั้นเป็นสายพันธุ์โอไมครอน แต่ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตนั้นอยู่ในขาลงแล้ว อีกทั้งยังพบข้อมูลว่าการฉีดวัคซีนรวมไปถึงเข็มบูสเตอร์นั้นได้ผลเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องป้องกันอาการป่วยอย่างรุนแรงที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์นี้ ควบคู่ไปกับการติดตั้งระบบช่วยหายใจและการใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์
“ผมคงพยายามอย่างดีที่สุดในการจะไม่ให้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้” นพ.แอนโทนี่ เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของทำเนียบขาวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นและกล่าวว่า “โอไมครอนนั้นจะยังอยู่ข้างนอก และผมก็ต้องประเมินความเสี่ยง ผมฉีดวัคซีนแล้ว ผมฉีดบูสเตอร์แล้ว และผมก็ไม่ประมาทในสิ่งที่ผมทำ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะติดเชื้อ ไม่ ผมคิดว่าทุกคนมีความเสี่ยงในระดับเดียวกันในเรื่องของการติดเชื้อ ความเสี่ยงนั้นไม่ใช่ศูนย์ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม เว้นเสียแต่ว่าคุณจะอยู่ในห้องและไม่ออกไปไหนเลย”
เรียบเรียงจาก:https://www.businessinsider.com/new-infectious-omicron-subvariants-ba2-xe-what-to-know-2022-4