โดยข้อมูลย้อนหลังจากผู้ที่ติดเชื้อจำนวนกว่า 1.8 ล้านรายในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ระหว่างเดือน พ.ย. 2564 ไปจนถึง ก.พ.2565 พบข้อมูลว่ามีแค่จำนวน 47 รายเท่านั้นที่ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.2 หลังจากที่ติดเชื้อ BA.1 ไปแล้ว ซึ่งกลุ่มที่มีการติดเชื้อซ้ำนั้นพบว่าเป้นกลุ่มผู้ที่มีอายุน้อยที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนมาก่อน
ณ เวลานี้ ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนถือได้ว่าเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์ที่ระบาดแพร่หลายมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายพันธุ์ย่อย BA.2 อันเนื่องมาจากศักยภาพในการระบาดของไวรัสดังกล่าวที่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
โดยโควิดสายพันธุ์ย่อย BA.2 ณ เวลานี้นั้นเป็นไวรัสที่มีการแพร่หลายทั้งในยุโรปและในภูมิภาคตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา จนแทนที่ไวรัสโควิดสายพันธุ์อื่นๆของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนอันได้แก่ BA.1, BA.1.1 และ B.1.1.529 หมดแล้ว
ทั้งนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมานั้นมีการยกเลิกมาตรการป้องกันโรคต่างๆ ทำให้เกิดกรณีการพุ่งขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน BA.2 ไปทั่วยุโรป
และจากการติดเชื้อที่กำลังเพิ่มขึ้นดังกล่าวนั้น ทำให้เกิดคำถามตามมาในหลายประเทศรวมถึงในประเทศไทยว่าเราจะติดเชื้อโอไมครอน ซ้ำได้หรือไม่ ซึ่งทางด้านของเว็บไซต์ businessinsider ได้นำเสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ และสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำรายงานข่าวดังกล่าวมาเรียบเรียงมีรายละเอียดดังนี้
โดยคำตอบสั้นๆต่อโอกาสการติดเชื้อโอไมครอนซ้ำกันแต่ต่างสายพันธุ์นั้น ก็คือ “อาจจะไม่เสมอไป”
และนี่ก็คือสิ่งที่เรารู้ ณ เวลานี้เกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์โอไมครอนและกรณีการติดเชื้อซ้ำ
@การติดเชื้อโอไมครอนซ้ำนั้นถือเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้บ่อยนัก
ที่ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ดำเนินการจัดลำดับทางพันธุกรรมเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนั้นพบข้อมูลว่ากรณีการติดเชื้อไวรัสโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 หลังจากที่ติดเชื้อ BA.1 นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ว่าอยู่ในอัตราที่น้อยมาก
โดยข้อมูลย้อนหลังจากผู้ที่ติดเชื้อจำนวนกว่า 1.8 ล้านรายในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ระหว่างเดือน พ.ย. 2564 ไปจนถึง ก.พ.2565 พบข้อมูลว่ามีแค่จำนวน 47 รายเท่านั้นที่ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.2 หลังจากที่ติดเชื้อ BA.1 ไปแล้ว ซึ่งกลุ่มที่มีการติดเชื้อซ้ำนั้นพบว่าเป้นกลุ่มผู้ที่มีอายุน้อยที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนมาก่อน
นักวิจัยได้รายงานต่อไปว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นเหมือนกับที่ได้เคยเจอที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีการถอดรหัสพันธุกรรมของตัวอย่างผู้ติดเชื้อทั้ง BA.1 และ BA.2 จำนวนกว่า 500,000 รายการนับตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย.จนถึงปลายเดือน ก.พ. ก็พบข้อมูลเช่นกันว่ามีผู้ติดเชื้อซ้ำอยู่แค่ 43 ราย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนั้นยังถือว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันธรมชาติดังกล่าวนั้นยังเป็นแค่การเก็บข้อมูลในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้นานเท่าไรและจะสามารถใช้ได้กับทุกคนหรือไม่
@การศึกษาตัวอย่างเลือดในห้องปฏิบัติการพบว่าผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ BA.1 นั้นยังมีภูมิคุ้มกันที่เพียงพอในการป้องกันสายพันธุ์ BA.2 ด้วย
มีข้อมูลอีกรายการหนึ่งที่ถูกเผยแพร่บนในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลนี้นั้นเป็นการประเมินตัวอย่างเลือดจากผู้ที่ฉีดวัคซีนรวมไปถึงฉีดวัคซีนบูสเตอร์จำนวน 24 ราย และยังไม่เคยติดเชื้อไวรัสโควิดมาก่อน กับผู้ที่เพิ่งจะหาป่วยไม่นานมานี้จำนวน 8 ราย ซึ่งคาดว่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ BA.1 (ผู้ที่ติดเชื้อทั้งหมดได้รับการฉีดวัคซีนเช่นกัน แต่ได้แค่โดสเดียว)
รายงานข่าวภูมิคุ้มกันโควิดโอไมครอน BA.2 (อ้างอิงวิดีโอจาก WBAL TV)
โดยผลการศึกษาก็พบข้อมูลว่า
-ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดต่อโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2 นั้นคือผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และยังไม่ผ่านการติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ BA.1
-การฉีดวัคซีนบูสเตอร์ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มากในแง่ของการเพิ่มระดับสารภูมิคุ้มกันหรือว่าแอนติบอดีต่อทั้งโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 สำหรับผู้ยังไม่เคยติดเชื้อ
-ผู้ที่ดูเหมือนจะมีระดับภูมิคุ้มต่อไวรัสโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2 อยู่ในระดับสูงที่สุดคือผู้ที่ทั้งฉีดวัคซีน,ฉีดบูสเตอร์โดสและผ่านการติดเชื้อมาก่อนแล้ว
-โดยเฉลี่ยแล้วผู้ที่ฉีดวัคซีนที่ผ่านการติดเชื้อโควิดก่อนหน้า (สันนิษฐานว่าเป็น BA.1) จะมีแอนติบอดีต่อ BA.2 มากกว่าถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น
ดังนั้นข้อมูลการวิจัยดังกล่าวได้บ่งชี้ให้เห็นว่ามีปฏิกริยาของภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติต่อไวรัสโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2 อย่างมีนัยยะสำคัญ อันเกิดจากการติดเชื้อข้ามสายพันธุ์ด้วยสายพันธุ์ BA.1
@การฉีดวัคซีนบูสเตอร์ดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพต่อสายพันธุ์ BA.2 เช่นเดียวกับในสายพันธุ์อื่นๆของโอไมครอน
ข้อมูลในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์นั้นยังได้ระบุอีกว่าการฉีดวัคซีนบูสเตอร์นั้นถือได้ว่ามีประสิทธิภาพต่อไวรัสโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2 เช่นเดียวกับที่มีประสิทธิภาพต่อสายพันธุ์ BA.1
โดยข้อมูลในช่วงที่มีการติดเชื้อในระดับสูงสุดที่ประเทศสหรัฐฯ เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนบูสเตอร์ แม้ว่าจะไม่เคยติดเชื้อโควิดมาก่อน ก็จะได้รับการป้องกันไม่ให้ต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดซึ่งเกิดจากโอไมครอน
แต่ก็ยังคงมีคำถามตามมาว่าภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนบูสเตอร์นั้นจะจางหายไปเร็วเท่าใด นับจากตอนนี้ที่ระยะเวลาหลังจากการฉีดบูสเตอร์ด้วยวัคซีนเข็มสามนั้นผ่านไปนานขึ้นเรื่อยๆ
@ภูมิคุ้มกันแบบ “ไฮบริด” (แบบผสม) แสดงให้เห็นถึงข้อดีของการส่งเสริมให้มีการฉีดวัคซีนในกลุ่มที่ติดเคยติดโควิด
มีการศึกษาก่อนการตีพิมพ์จำนวนหลายรายการได้อ้างถึงข้อมูลทั้งการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อในประเทศกาตาร์ ซึ่งถูกเผยแพร่ออนไลน์เมื่อประมาณวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าข้อมูลนี้จะเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้มีการทบทวน แต่ทางด้านวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ก็ได้ออกคำแนะนำว่าวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนไม่ว่าจะเป็น BA.1 หรือว่า BA.2 ก็คือการติดเชื้อก่อนหน้านี้บวกกับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ในช่วงเวลาไม่นานนี้
อัตราการระบาดของโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2 (อ้างอิงวิดีโอจาก CNBC)
โดยการศึกษาจากที่ประเทศกาตาร์ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.ถึงปลายเดือน ก.พ. พบข้อมูลดังต่อไปนี้
- การติดเชื้อโควิดก่อนหน้าลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ BA.2 ได้อยู่ที่ 46 เปอร์เซ็นต์
-การฉีดวัคซีนบวกด้วยวัคซีนบูสเตอร์ล่าสุดลดการติดเชื้อได้อยู่ที่ 52 เปอร์เซ็นต์
-ภูมิคุ้มกันแบบไฮบริด ซึ่งก็คือการฉีดวัคซีนจำนวน 2 โดสผนวกกับการติดเชื้อจะลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้อยู่ที่ 55 เปอร์เซ็นต์
-ภูมิคุ้มกันแบบไฮบริดผสานกับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์จะมีภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยงการติดเชื้ออยู่ที่ 77 เปอร์เซ็นต์
-ผู้ที่ฉีดวัคซีนแค่ไฟเซอร์จำนวน 2 โดสโดยไม่มีการฉีดวัคซีนบูสเตอร์พบว่าไม่มีผลในการป้องกันการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน แต่ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสก็ยังได้รับการป้องกันจากอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตในช่วงที่การระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน (วัคซีนไฟเซอร์เป็นวัคซีนที่ใช้แพร่หลายที่สุดในประเทศกาตาร์)
@ข้อสรุป
การเกิดขึ้นของไวรัสโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2 นั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรมองว่าไม่ใช่เรื่องน่ากังวลแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกรณีที่ยังมีกลุ่มประชาชนเปราะบางเป็นจำนวนมากที่อาจยังไม่ได้ติดเชื้อโควิด BA.1 และผู้ที่อาจจะมีความเสี่ยงอันตรายมากขึ้นจากการติดเชื้อ BA.2
เรียบเรียงจาก:https://www.businessinsider.com/can-you-get-ba2-if-you-had-omicron-evidence-risk-2022-3