"...ในคดีนี้ นายดำรงค์ พิเดช ถูกกล่าวหาพร้อมกับพวก 2 ราย คือ นายเริงชัย ประยูรเวช อดีตรองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ นายธนโรจน์ โพธิสาโร อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง กรมอุทยานแห่งชาติฯ โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ มีมติ 6 เสียง เห็นว่าการกระทำของ นายดำรงค์ พิเดช นายเริงชัย ประยูรเวช และนายธนโรจน์ โพธิสาโร มีมูลความผิด..."
นายดำรงค์ พิเดช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย
ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา และวินัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมกับพวก
กรณีกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จากรณีอนุมัติค่าใช้จ่ายโครงการฝึกอบรมจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ จำนวน 2,500 คน เมื่อวันที่ 7-16 มิ.ย. 2555 ที่วัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และมีการศึกษาดูงานเกี่ยวกับการบริหารและจัดการสัตว์ป่า ที่สวนสัตว์ดุสิต โดยเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งพบว่า มีการนำเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ เข้าร่วมในการชุมนุมของ นปช.
คือ ข้อมูลที่สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
@ ภาพ ดำรงค์ พิเดช จาก https://www.naewna.com/
ข้อมูลสำคัญอีกส่วนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นทางการ คือ บุคคลที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลการกระทำความผิดพร้อมกับ นายดำรงค์ พิเดช เป็นใครบ้าง?
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ในคดีนี้ นายดำรงค์ ถูกกล่าวหาพร้อมกับพวก 2 ราย คือ นายเริงชัย ประยูรเวช อดีตรองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ นายธนโรจน์ โพธิสาโร อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง กรมอุทยานแห่งชาติฯ
โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ มีมติ 6 เสียง เห็นว่าการกระทำของ นายดำรงค์ พิเดช นายเริงชัย ประยูรเวช และนายธนโรจน์ โพธิสาโร มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 90 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงและฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) ตามมาตรา 82 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98
ส่วนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฝ่ายเสียงข้างน้อย 3 เสียง นั้น มีรายงานข่าวว่า ในส่วนของ นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ได้เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้นว่า การกระทำของนายดำรงค์ มีมูลความผิดทางอาญานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 90 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงและฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) มาตรา 82 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสอง
การกระทำของนายเริงชัย และนายธนโรจน์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นละฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 90 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172)ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงและฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) มาตรา 82 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทลงโทษที่หนักกว่า
ก่อนที่ประธาน ป.ป.ช. จะสรุปผลการลงคะแนนเสียงให้ถือความเห็นของกรรมการ ป.ป.ช. ฝ่ายเสียงข้างมาก จำนวน 6 เสียง ชี้มูลความผิดดังกล่าวในเวลาต่อมา
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี กับนายดำรงค์ นายเริงชัย และนายธนโรจน์ ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 91(1)
นอกจากนี้ ยังให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจกับ นายดำรงค์ นายเริงชัย และนายธนโรจน์ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 64 ต่อไป
ด้าน นายดำรงค์ พิเดช ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยคดีนี้ เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 65 ที่ผ่านมา ว่า ไม่กังวล สามารถตอบคำถามที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด เพราะไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในครั้งดังกล่าว โดยในเวลานั้นเป็นปีพุทธยันตี ตนในฐานะอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ในขณะนั้น จึงจัดโครงการอบรมเรื่องพระพุทธศาสนาโดยใช้สถานที่คือ วัดพระธรรมกาย โดยให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทั่วประเทศ ยกเว้นจากภาคใต้ เพราะมีเจ้าหน้าที่หลายนายนับถือศาสนาอิสลาม เข้ามาอบรม เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และมีการดูงานที่สวนสัตว์ดุสิต เพราะตอนนั้นยังมีปัญหาเรื่องเจ้าหน้าที่ยังแยกไม่ออกระหว่างสัตว์ป่าคุ้มครอง สัตว์ป่าสงวน และสัตว์ที่สามารถครอบครองดูแลได้
“เริ่มอบรมวันที่ 7 มิ.ย. ช่วงเช้า แต่มีเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งมาก่อน แล้วอาจจะเห็นเพื่อนๆ หรือญาติพี่น้อง มาชุมนุมกัน และมีการผูกเปล กางเต็นท์นอนกันบริเวณสวนสัตว์ มีนักข่าวไปเห็น ก็เอาไปเขียนข่าวว่า กรมอุทยานฯ ระดมกำลังเจ้าหน้าที่มาสมทบม็อบ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด และตอนนั้น ผมก็ไม่อยู่ประเทศไทยด้วย วันที่ 5 มิ.ย. ผมไปดูงานที่สหรัฐอเมริกา โดยมอบหมายให้นายเริงชัย ประยูรเวช รองอธิบดีกรมอุทยานฯ ในขณะนั้นรักษาการแทน” นายดำรงค์ระบุ (อ้างอิงข่าวส่วนนี้จาก https://www.dailynews.co.th/news/682039/)
@ ภาพจาก www.tcijthai.com/
ขณะที่ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้ติดต่อไปยัง นายเริงชัย ประยูรเวช เพื่อขอให้ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้เพิ่มเติม แต่นายเริงชัย ประยูรเวช ยังไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ระบุว่า อยู่ระหว่างการรักษาตัวเนื่องจากมีอาการป่วย
เมื่อถามว่า ได้รับทราบข่าวกรณี ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลทางอาญาและวินัยเรื่องนี้แล้วหรือไม่ นายเริงชัย ตอบว่า ป่วยอยู่ ยังไม่ทราบข่าวอะไร ขอให้ไปสัมภาษณ์ นายดำรงค์ จะดีกว่า
เมื่อถามว่า นายดำรงค์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ช่วงที่เกิดเหตุไปราชการที่ต่างประเทศ นายเริงชัย ตอบว่า "ใช่ ...ผมก็รักษาการตามหน้าที่ลำดับชั้น ส่วนรายละเอียด ขอให้ไปสัมภาษณ์ นายดำรงค์ จะดีกว่า"
ส่วน นายธนโรจน์ โพธิสาโร ยังไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
อย่างไรก็ดี สำหรับคดีนี้ ยังไม่สิ้นสุด นายดำรงค์ นายเริงชัย และนายธนโรจน์ ยังมีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นวินัย และชั้นศาลได้อีก
อ่านเรื่องในหมวดเดียวกันประกอบ :