101 ตัวอย่างจากผู้ที่ได้รับวัคซีนโคโรน่าแวคจำนวนสองโดสตามด้วยวัคซีนแบบ mRNA เป็นเข็มบูสเตอร์พบว่าก่อนการบูส ไม่พบการตรวจจับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในตัวอย่างเลือด แต่พอหลังจากการฉีดบูสเตอร์ไปแล้ว เมื่อตรวจตัวอย่างเลือดก็พบว่ามีการขัดขวางกิจกรรมของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเกิดขึ้น แต่การขัดขวางไวรัสดังกล่าวนั้นก็ยังไม่สูงเทียบเท่ากับผู้ที่ฉีดวัคซีนแบบ mRNA จำนวนสองโดสและยังไม่ฉีดวัคซีนบูสเตอร์
ประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นประเทศแรกๆของโลกที่มีการฉีดวัคซีนด้วยสูตรผสม เพื่อที่จะรับมือกับทั้งไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆทั้งสายพันธุ์เดลต้าและสายพันธุ์โอไมครอน
โดยสาเหตุสำคัญที่ประเทศไทยต้องใช้วัคซีนสูตรผสมก็เนื่องมาจากว่า วัคซีนในลอตแรกๆที่มีการฉีดในประเทศไทยนั้นเป็นวัคซีนโคโรน่าแวคจากบริษัทซิโนแวคของประเทศจีน ซึ่งมีรายงานว่ามีประสิทธิภาพค่อนข้างน้อย ถ้าหากจะใช้เพียงแค่ชนิดเดียวเพื่อจะเอามารับมือกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากสายพันธุ์ดั้งเดิม นี่จึงเป็นเหตุทำให้ต้องมีการคิดการฉีดวัคซีนแบบผสม รวมไปถึงการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ด้วยชนิดอื่นขึ้นมา เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนให้รองรับสายพันธุ์ใหม่ๆได้
ล่าสุดสำนักข่าว Nature ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่รายงานเกี่ยวกับแวดวงวิทยาศาสตร์ของประเทศอังกฤษก็ได้มีการจัดทำรายงานเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีนเชื้อตาย รวมไปถึงการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ตามมาหลังจากการฉีดวัคซีนเชื้อตาย เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรับมือกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ
โดยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำรายงานดังกล่าวมานำเสนอมีรายละเอียดดังนี้
มีรายงานว่าอ้างอิงหลักฐานจากห้องทดลองว่าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลกนั้นสามารถให้การปกป้องที่น้อยนิดไปจนถึงไม่ได้เลย เมื่อต้องเจอกับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ที่กำลังระบาดอย่างรวดเร็ว ณ เวลานี้
ทั้งนี้รายละเอียดของวัคซีนเชื้อตายนั้นก็คือวัคซีนที่บรรจุอนุภาคของไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งผ่านกระบวนการทางเคมีจนทำให้วัคซีนนั้นไม่มีขีดความสามารถในการแพร่เชื้อได้อีกแล้ว และวัคซีนเชื้อตายก็ถือเป็นวัคซีนที่มีความสถียรและค่อนข้างง่ายต่อการผลิต และวัคซีนที่ว่านี้ซึ่งก็รวมถึงวัคซีนที่ชื่อว่าซิโนแวค อันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการทูตวัคซีนทั่วโลกของประเทศจีน
โดยนโยบายการทูตวัคซีนดังกล่าวนั้นก็คือการสร้างตัวเลือกการฉีดวัคซีนให้กับหลายประเทศ แต่ก็มีการทดลองมาอย่างต่อเนื่องแล้วว่าวัคซีนซิโนแวคนั้นไร้ประสิทธิภาพต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน เนื่องจากพบข้อมูลว่ามีประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนประเภทเชื้อตายครบสองโดสไปแล้ว และบางรายก็ฉีดวัคซีนเชื้อตายไปถึงสามโดส แต่ปรากฎว่าวัคซีนนั้นกลับสร้างสารภูมิคุ้มกันหรือว่าแอนติบอดีที่ถือว่ามีศักยภาพเพียงพอต่อการป้องกันการติดเชื้อไวรัสในระดับที่ต่ำมาก
แต่อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนในประเภท mRNA หรือวัคซีนประเภทที่ทำจากโปรตีนบริสุทธ์เป็นวัคซีนโดสที่สามตามมาหลังจากการฉีดวัคซีนเชื้อตายจำนวนสองโดสนั้นกลับดูเหมือนจว่าจะมอบการปกป้องที่ดีขึ้นต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน
ทั้งนี้ผลการวิจัยดังกล่าวนั้นได้กลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้เหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยทั่วโลกนั้นกลับมาประเมินบทบาทของวัคซีนเชื้อตายเพื่อที่จะนำมาใช้รับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกกันอีกครั้งหนึ่ง
“จนถึงบัดนี้ เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาแนวคิดและปรับกลยุทธ์การฉีดวัคซีนของเรา” พญ.เฉียง ปัน-ฮัมมาร์สตรอม นักภูมิคุ้มกันวิทยาคลินิกที่สถาบันคาโรลินสกา กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนกล่าว
จำนวนวัคซีนแต่ละชนิดที่มีการแจกจ่ายไปทั่วโลก (หน่วยคิดเป็นหลักพันล้านโดส)
@วัคซีนที่ถูกจัดส่งไปนับพันล้านโดส
ในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมานั้น วัคซีนเชื้อตายถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการรณรงค์การฉีดวัคซีนกันทั่วโลก ซึ่งวัคซีนเชื้อตายเหล่านี้ก็รวมไปถึงวัคซีนยี่ห้อซิโนแวคและซิโนฟาร์มที่ผลิตจากประเทศจีน และวัคซีนทั้งสองยี่ห้อดังกล่าวนั้นก็มีจำนวนในการแจกจ่ายทั่วโลกรวมกันอยู่ที่ 5 พันล้าน – 1.1 หมื่นล้านโดส ตามข้อมูลที่รายงานจากบริษัท Airfinity ในกรุงลอนดอน ได้เก็บข้อมูลเอาไว้ และก็ยังมีการจัดส่งวัคซีนเชื้อตายชนิดอื่นๆด้วย อาทิ วัคซีนโควาซิน ของประเทศอินเดีย,วัคซีนโควีราน บารีกาศ ของประเทศอิหร่าน และวัคซีนกาซแวค ของประเทศคาซัคสถาน
โดยวัคซีนดังกล่าวนี้นั้นก็ยังถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการป้องกันการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 และวัคซีนนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญในการมอบภูมิคุ้มกันให้กับบุคคลที่ยังไม่เคยมีการฉีดวัคซีนมาก่อนเลยด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณในช่วงเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมาว่าวัคซีนเชื้อตายนั้นอาจจะไม่สามารถรับมือกับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้ เมื่อนักวิจัยในฮ่องกงได้มีการเก็บตัวอย่างเลือดจากผู้ที่เข้ารับวัคซีนโคโรน่าแวคสองโดส จำนวนทั้งสิ้น 25 ราย ก็พบว่าไม่มีใครเลยที่ถูกตรวจพบว่ามีแอนติบอดีที่สามารถรับมือกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดนั้นจะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน
ทว่าทางบริษัทซิโนแวคก็ได้โต้แย้งงานวิจัยดังกล่าว โดยอ้างข้อมูลภายในของตัวเองว่า มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 7 ราย จากทั้งหมด 20 ราย ที่ได้รับวัคซีนของบริษัทไปแล้วถูกตรวจพบว่ามีผลเป็นแอนติบอดีเป็นบวกในการต้านโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือก็คือเคยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั่นเอง
ขณะที่การศึกษาในส่วนของวัคซีนอื่นๆนั้นพบว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควาซิน 2 ซึ่งถูกผลิตจากบริษัทภารัต ไบโอเทค จากเมืองไฮเดอราบัด ประเทศอินเดีย และผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน BBIBP-CorV3 ซึ่งผลิตจากรัฐวิสาหกิจซิโนฟาร์ม ในกรุงปักกิ่งประเทศจีน นั้นก็ได้ข้อสรุปว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนเชื้อตายก็สามารถที่จะได้รับภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงในระดับหนึ่งต่อการติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้ แม้ว่างานวิจัยที่ประเทศอินเดียนั้นจะเป็นงานวิจัยอย่างไม่เป็นทางการก็ตาม
@การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
มีรายงานด้วยว่าการฉีดวัคซีนเชื้อตายในโดสสามนั้นมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูภูมิคุ้มกันในส่วนของผู้ที่ถูกฉีดเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางด้านของ วิทยาลัยทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวตง ได้ระบุผลการวิจัยในกลุ่มตัวอย่าง 292 ราย ที่ได้รับวัคซีน BBIBP-CorV ครบโดส ก็พบว่ามีแค่ 8 รายที่มีแอนติบอดีกลางต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนหรือก็เคยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนมาก่อนนั่นเอง ซึ่งการตรวจเลือดในกลุ่มตัวอย่างนั้นเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหลังจากการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเป็นระยะเวลาประมาณ 8-9 เดือน
และในเวลาต่อมาก็มีการเพิ่มกลุ่มตัวอย่างที่ว่านี้เป็น 2,284 ราย แต่ทว่าผลการวิจัยนั้นยังไม่ใช่ผลที่ผ่านการทบทวนแต่อย่างใด
ขณะที่ นพ.ราฟาเอล เมดินา นักวิจัยด้านไวรัสวิทยาในระดับโมเลกุลที่มหาวิทยาลัย Pontifical Catholic ในกรุงซานติอาโก ประเทศชิลีก็ได้กล่าวว่าแม้ว่าแอนติบอดีป้องกันไวรัสในแต่ละคนหลังจากการฉีดวัคซีนนั้นจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ว่าก็มีอีกส่วนของระบบภูมิคุ้มกันที่มีบทบาทสำคัญที่ชื่อว่าเซลล์ทีที่ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อควบคู่ไปกับเซลล์บีที่ทำหน้าที่จดจำการติดเชื้อในอดีตที่ผ่านมา และเสริมสร้างการตอบสนองของภูมิคุ้มกันในอนาคต ซึ่งจะมีผลผูกพันควบคู่ไปกับแอนติบอดีเพื่อทำหน้าที่ควบคุมไวรัส
โดยในข้อมูลเอกสารที่ถูกตีพิมพ์เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา นพ.เมดิน่าและผู้ที่เขียนงานวิจัยร่วมกันได้แก่ พ.ญ.กาลิต อัลเทอร์ นักภูมิคุ้มกันวิทยาที่สถาบันรากอน (Ragon Institute of MGH, MIT and Harvard in Cambridge) รัฐแมสซาชูเซตส์ ก็ได้รายงานว่าผู้ที่ได้รับภูมิคุ้มกันจากวัคซีนโคโรน่าแวคนั้นยังคงมีภูมิคุ้มกันที่ไม่ใช่แอนติบอดี ซึ่งจะมีศักยภาพในการผูกติดกับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน และสามารถช่วยเหลือเซลล์ภูมิคุ้มกันในการกลืนกินเซลล์ที่ติดเชื้อได้
@ผลในเชิงป้องกัน
ส่วน นพ.มูรัต อาโควา ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อที่วิทยาลัยการแพทย์มหาวิทยาลัยฮาเซตเป ในกรุงอังการา กล่าวว่าผลของการทดลองที่เกิดขึ้นนั้นแสดงให้เห็นว่า แม้ว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนเชื้อตายนั้นจะไม่ได้รับการปกป้องเท่าที่จำเป็นจากไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน แต่ก็ยังได้รับการปกป้องจากผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดอันเกิดขึ้นจากโควิดกลายพันธุ์
และการฉีดวัคซีนโดสเพิ่มเติมนั้นก็สามารถรับประกันการมีภูมิคุ้มกันที่จำเป็นได้ โดยการทดลองของ พญ.ปัน-ฮัมมาร์สตรอม และเพื่อนร่วมงานนั้นพบว่าหลังจากการฉีดวัคซีนเชื้อตายจำนวนสองโดสและฉีดวัคซีนประเภท mRNA ตามมา จะพบว่าวัคซีนนั้นสามารถเพิ่มระดับของแอนติบอดีที่มีผลผูกพัน, เพิ่มระดับของเซลล์ที และระดับของเซลล์ทีได้ และจากการศึกษาตัวอย่างจากประเทศจีนและประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นั้นก็ได้แสดงให้เห็นเช่นกันว่าการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ประเภทโปรตีนเบสก็สามารถที่จะเสริมสร้างแอนติบอดีได้ในระดับที่สูงกว่าการฉีดวัคซีนเชื้อตายเป็นโดสสาม แต่อย่างไรก็ตามผลการทดลองโดยมากนั้นยังไม่ได้มีการทบทวนเช่นกัน
รายงานข่าวประสิทธิภาพของวัคซีนเชื้อตายก่อนหน้าวัคซีนแบบ mRNA ซึ่งผลก็คือวัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อเจอโควิดสายพันธุ์โอไมครอน (อ้างอิงวิดีโอจาก ANC 24/7 )
@การฉีดวัคซีนบูสเตอร์จำนวนสองโดส
มีรายงานว่าการฉีดวัคซีนบูสเตอร์เพียงแต่โดสเดียวด้วยวัคซีนชนิดเดียวนั้นอาจไม่เพียงพอต่อการรับมือกับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งคำเตือนดังกล่าวมาจาก พญ.อากิโกะ อิวาซากิ นักภูมิคุ้มกันวิทยาไวรัสที่วิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยเยล ในรัฐคอนเนตทิคัตกล่าว
โดย พญ.อิวาซากิ และเพื่อนร่วมงานได้ศึกษาตัวอย่างเลือดกว่า 101 ตัวอย่างจากผู้ที่ได้รับวัคซีนโคโรน่าแวคจำนวนสองโดสตามด้วยวัคซีนแบบ mRNA เป็นเข็มบูสเตอร์พบว่าก่อนการบูส ไม่พบการตรวจจับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในตัวอย่างเลือด แต่พอหลังจากการฉีดบูสเตอร์ไปแล้ว เมื่อตรวจตัวอย่างเลือดก็พบว่ามีการขัดขวางกิจกรรมของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเกิดขึ้น แต่การขัดขวางไวรัสดังกล่าวนั้นก็ยังไม่สูงเทียบเท่ากับผู้ที่ฉีดวัคซีนแบบ mRNA จำนวนสองโดสและยังไม่ฉีดวัคซีนบูสเตอร์
อย่างไรก็ตามการศึกษาดังกล่าวนั้นยังไม่ได้รับการทบทวนแต่อย่างใด
อนึ่งก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พญ.อิวาซากินั้นเป็นผู้ที่สนับสนุนให้มีการฉีดวัคซีนแบบ mRNA เพื่อบูสให้กับกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเชื้อตาย
“เรากำลังยินดีกับกลยุทธ์เรื่องการฉีดวัคซีนบูสให้กับผู้ที่ฉีดวัคซีนเชื้อตาย แล้วต่อมาไวรัสโอไมครอนก็ระบาด ดังนั้นคิดว่าตอนนี้เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฉีดวัคซีนบูสเตอร์เป็นจำนวนสองโดสให้กับผู้ที่เคยฉีดวัคซีนเชื้อตายไปแล้ว” พญ.อิวาซากิกล่าวและกล่าวทิ้งท้ายว่าเงื่อนไขต่างๆนั้นถูกเพิ่มสูงขึ้นเสมอเมื่อมีไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นมา และเราต้องคอยติดตามมันอยู่เสมอ
เรียบเรียงจาก:https://www.nature.com/articles/d41586-022-00079-6