"...ข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ ไม่ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ ของสภากรรมการให้สามารถมีมติเห็นชอบให้นายกสมาคมเป็นผู้กำหนดอัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน ค่าเบี้ยประชุมค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ให้แก่นายกสมาคม อุปนายกสมาคม และกรรมการของสมาคมฯ ได้ ..."
ปรากฏเป็นข่าวดังในสื่อมวลชนหลายสำนัก!
กรณี พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก อดีตเลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมถ์ เคยออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมทำหนังสือถึงการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ให้ตรวจสอบการบริหารงานและการทำงานในสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่มี “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง เป็นนายกสมาคมฯ ในช่วงปล่ายปี 2561 โดยมีวาระสำคัญ คือ การรับเงินเดือนของนายกสมาคมฯ และสภากรรมการฯ ว่าเหมาะสมหรือไม่
ก่อนที่ พล.ต.อ.สมยศ จะออกมาชี้แจงว่า รับเงินเดือนจริง แต่บริจาคกลับให้สมาคมฯ เป็นที่เรียบร้อย
ล่าสุด ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังจาก กกท. ส่งเรื่องให้สำนักงานกฤษฎีกาได้ตีความว่า พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย มีความเหมาะสมหรือไม่กับการรับเงินเดือนในตำแหน่ง กฤษฎีกา ได้ส่งหนังสือตีความในเรื่องดังกล่าวกลับมาแล้ว พร้อมยืนยันว่า นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลไทย ไม่สามารถ รับเงินเดือน หรือ รับค่าจ้างได้ เพราะไม่ใช่ลูกจ้างของสมาคมฯ การทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้ การเป็นนายกสมาคมกีฬา เป็นการอาสาเข้ามาทำงาน
(อ้างอิงที่มาข่าวส่วนนี้ จาก mgronline.com "กฤษฎีกา" ยืนยัน "บิ๊กอ็อด" รับเงินเดือนนายกลูกหนังไม่ได้ จี้คืนเงินทั้งหมด)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบยืนยันข้อมูลด้านเอกสาร พบว่า เกี่ยวกับกรณีนี้ นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่า กกท. ได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ตั้งประเด็นสำคัญในเรื่องการที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย นำรายได้ของสมาคมที่เกิดจากการบริหารสิทธิประโยชน์จากการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพมาแบ่งจ่ายเป็นเงินเดือน ค่าตอบแทน ให้กับกรรมการของสมาคม จะขัดต่อมาตรา 73 (5) แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 หรือไม่ อย่างไร (ดูรายละเอียดในหนังสือประกอบ)
หลังจากนั้น ในช่วงเดือนกันยายน 2564 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชี้ประเด็นสำคัญว่า ข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ ไม่ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ ของสภากรรมการให้สามารถมีมติเห็นชอบให้นายกสมาคมเป็นผู้กำหนดอัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน ค่าเบี้ยประชุมค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ให้แก่นายกสมาคม อุปนายกสมาคม และกรรมการของสมาคมฯ ได้
ดังนั้น การที่สภากรรมการได้มีมติให้ความเห็นชอบให้นายกสมาคมสามารถดำเนินการดังกล่าวได้ จึงเป็นมติที่เกินอำนาจที่ข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคม ๆ กำหนดไว้ และมีลักษณะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญของข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่แม้ปรากฎข้อเท็จจริงว่าในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2560 ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2560 ที่ประชุมจะได้มีมติอนุมัติฐานะการเงิน บัญชีงบดุล และงบประมาณของสมาคมฯ ก็ตาม แต่มติดังกล่าวก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ได้มีมติเห็นชอบให้นายกสมาคมสามารถกำหนดอัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน ค่าเบี้ยประชุม ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ให้แก่นายกสมาคม อุปนายกสมาคม และกรรมการของสมาคมฯ อันจะทำให้มติสภากรรมการดังกล่าวเป็นมติโดยชอบด้วยข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมๆ ขึ้นมาได้ และหากมีการจ่ายเงินเดือน ค่าตอบแทนค่าเบี้ยประชุม ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ตามที่นายกสมาคมได้กำหนดตามมติของสภากรรมการไปแล้ว การดำเนินการดังกล่าวจึงไม่มีฐานอำนาจตามข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ
ปรากฏรายละเอียดดังต่อไปนี้
การกีฬาแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือ ที่ กก 5105/1204 ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า การกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท. ได้เคยมีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยขอหารือกรณีกรรมการของสมาคมกีฬารับเงินเดือนจากสมาคมกีฬาจะเป็นการขัดต่อมาตรา 73 (5) แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 หรือไม่ (หนังสือ ที่ กก 5107/13238 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2562)และสำนักงานฯ ได้ตอบข้อหารือว่า หากผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยในฐานะนายทะเบียนกลาง
สมาคมกีฬาได้ดำเนินการตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายได้โดยถูกต้องหรือยังหาข้อยุติไม่ได้กกท. ก็สามารถหารือมายังสำนักงานฯ ต่อไปได้ (หนังสือ ที่ นร 0906/202 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน2562) นั้น กกท. ได้ดำเนินการตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ แล้ว
โดยมีหนังสือถึงสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ให้ชี้แจงและจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับกรณี ดังต่อไปนี้
(1)กรณีการเบิกจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนของนายกสมาคม อุปนายกสมาคมและกรรมการของสมาคมฯ ว่ามีการเสนอสภากรรมการบริหารของสมาคมฯ อนุมัติก่อนการเบิกจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนหรือไม่ อย่างไร
(2) การดำเนินการในการจัดตั้งและเข้าถือหุ้นในบริษัท ไทยลีก จำกัด ของสมาคมฯเป็นไปตามข้อบังคับลักษณะการปกครอง ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2558 หรือไม่ และมีกรรมการหรือพนักงานของสมาคมฯ รับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนทั้งจากสมาคมฯ และบริษัท ไทยลีก จำกัด หรือไม่
โดยสมาคมฯ ได้ชี้แจง ดังนี้
(1) สมาคมฯ ได้ตกลงจ้างนายกสมาคมและอุปนายกสมาคม ชุดที่ได้รับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 โดยมิได้มีสัญญาจ้างหรือข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
(2) ที่ประชุมสภากรรมการ ครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันศุกร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 มีมติมอบหมายอุปนายกสมาคมให้ทำหน้าที่ประจำและรับผิดชอบในส่วนงานในฝ่ายต่าง ๆ เต็มเวลาและมีมติให้ความเห็นชอบให้นายกสมาคมเป็นผู้มีอำนาจพิจารณากำหนดอัตราเงินเดือน ค่าตอบแทนค่าเบี้ยประชุม ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ตามขอบวัตถุประสงค์ ให้แก่นายกสมาคม อุปนายกสมาคม และกรรมการของสมาคมฯ ได้
การที่สภากรรมการซึ่งมีอำนาจตามข้อบังการปกครองของสมาคมฯ มีมติดังกล่าวมาถือเป็นการกำหนดให้บุคคลทำหน้าที่ประจำ ซึ่งตามนัยกฎหมายถือเป็นลูกจ้างของสมาคมฯ เมื่อสมาคมฯ ในฐานะนิติบุคคลเอกชนเป็นนายจ้างจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างคำตอบแทน ดังนั้น เมื่อการจ่ายเงินเป็นไปตามกฎหมาย สมาคมฯ จึงสามารถจ่ายเงินได้และการจ่ายเงินนั้นเป็นค่าใช้จ่ายตามข้อ 71 แห่งข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ
โดยนายกสมาคมได้กำหนดค่าจ้างค่าตอบแทน แล้วระบุเป็นค่าใช้จ่ายในแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีของปี 2559 ของสมาคมฯ
(3) ที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2560 ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2560 มีมติอนุมัติฐานะการเงิน บัญชีงบดุล และงบประมาณของสมาคมฯ
(4) สมาคมฯ ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวนี้ โดยอาศัยข้อ 20 ข้อ 23 ข้อ 35 และข้อ 71 แห่งข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ กกท. ได้พิจารณาคำชี้แจงของสมาคมฯ แล้ว ยังไม่อาจวินิจฉัยได้ จึงขอหารือว่าการที่สมาคมฯ นำรายได้ที่เกิดจากการบริหารสิทธิประโยชน์จากการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพมาแบ่งจ่ายเป็นเงินเดือนและค่าตอบแทนให้แก่นายกสมาคม อุปนายกสมาคม และกรรมการของสมาคมฯขัดต่อมาตรา 73 (5) แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ หรือไม่ อย่างไร
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาข้อหารือของการกีฬาแห่งประเทศไทยโดยมีผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท.) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นสมาคมกีฬาที่ จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 จึงอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ และข้อบังคับที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กับข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2558 และต้องดำเนินการภายในขอบวัตถุประสงค์ของสมาคมฯ ซึ่งกรณีนี้ย่อมรวมไปถึงการไม่หาผลกำไรหรือรายได้เพื่อมาแบ่งปันกันตามที่ บัญญัติไว้ในมาตรา 73 (5) แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ และข้อ 86 แห่งข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ ซึ่งถือเป็นหลักการสำคัญของการจัดตั้งสมาคมตามกฎหมาย
ในการบริหารจัดการสมาคมฯ นั้น ข้อ 20 แห่งข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯได้กำหนดโครงสร้างการบริหารสมาคมไว้ ให้มีที่ประชุมใหญ่ทำหน้าที่เป็นองค์คณะนิติบัญญัติและมีอำนาจสูงสุดในการดำเนินกิจการสมาคมฯ ตามข้อ 23และมีสภากรรมการทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการบริหารของสมาคม มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 35 โดยข้อ 33.1 แห่งข้อบังคับดังกล่าว ได้กำหนดให้สภากรรมการประกอบด้วยกรรมการ จำนวน 19 คน คือ นายกสมาคม 1 คน อุปนายกสมาคม 5 คน และกรรมการกลาง 13 คน ซึ่งได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่
เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างการบริหารสมาคม องค์ประกอบของสภากรรมการ และอำนาจหน้าที่ของสภากรรมการแล้ว เห็นว่าแม้ข้อ 2.6 แห่งข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ จะได้กำหนดให้กรรมการในสภากรรมการข้างต้นเป็นบุคลากรของสมาคมฯ ก็ตาม แต่โดยที่สภากรรมการเป็นผู้แทนที่ได้รับเลือกจากสมาชิกให้มาทำหน้าที่บริหารจัดการและควบคุมดูแลรับผิดชอบกิจการของสมาคมฯ และมีสถานะเป็นคณะกรรมการบริหารของสมาคมฯจึงเป็นผู้มีอำนาจดำเนินกิจการของสมาคมฯ ภายใต้ความเห็นชอบของที่ ประชุมใหญ่ตามที่ กำหนดไว้
ในข้อ 35.1 แห่งข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ ดังนั้น นายกสมาคม อุปนายกสมาคมและกรรมการของสมาคมฯ จึงไม่อาจมีสถานะเป็นลูกจ้างและรับค่าจ้างในการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่สมาคมฯ ได้
หากแต่เป็นเพียงบุคคลที่สามารถกระทำกิจการต่าง ๆ ในนามของสมาคมฯ เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อ 38 แห่งข้อบังคับดังกล่าว ที่กำหนดให้นายกสมาคมมีอำนาจเฉพาะในการบังคับการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสมาคมฯ ตลอดจนเป็นผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติตามมติที่ประชุมใหญ่และมติของสภากรรมการผ่านสำนักเลขาธิการสมาคมฯ แต่การจะปฏิบัติตามมติใด ๆ ของสภากรรมการ มติดังกล่าวจะต้องเป็นมติที่ ออกโดยชอบ ภายในขอบเขตอำนาจของสภากรรมการเสียก่อน ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วพบว่า ข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ ไม่ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ ของสภากรรมการให้สามารถมีมติเห็นชอบให้นายกสมาคมเป็นผู้กำหนดอัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน ค่าเบี้ยประชุมค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ให้แก่นายกสมาคม อุปนายกสมาคม และกรรมการของสมาคมฯ ได้
ดังนั้น การที่สภากรรมการได้มีมติให้ความเห็นชอบให้นายกสมาคมสามารถดำเนินการดังกล่าวได้จึงเป็นมติที่เกินอำนาจที่ข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคม ๆ กำหนดไว้ และมีลักษณะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญของข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่แม้ปรากฎข้อเท็จจริงว่าในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2560 ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2560ที่ประชุมจะได้มีมติอนุมัติฐานะการเงิน บัญชีงบดุล และงบประมาณของสมาคมฯ ก็ตาม แต่มติดังกล่าวก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ได้มีมติเห็นชอบให้นายกสมาคมสามารถกำหนดอัตราเงินเดือน ค่าตอบแทน ค่าเบี้ยประชุม ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ให้แก่นายกสมาคม อุปนายกสมาคม และกรรมการของสมาคมฯ อันจะทำให้มติสภากรรมการดังกล่าวเป็นมติโดยชอบด้วยข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมๆ ขึ้นมาได้ และหากมีการจ่ายเงินเดือน ค่าตอบแทนค่าเบี้ยประชุม ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ตามที่นายกสมาคมได้กำหนดตามมติของสภากรรมการไปแล้ว
การดำเนินการดังกล่าวจึงไม่มีฐานอำนาจตามข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ
อนึ่ง ในกรณีที่สมาคมฯ พิจารณาเห็นสมควรที่จะกำหนดค่าตอบแทน ค่าเบี้ยประชุม ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ให้แก่นายกสมาคม อุปนายกสมาคม และกรรมการของสมาคมฯ เป็นการเฉพาะ ก็ควรดำเนินการแก้ไขเเพิ่มเติมข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ ในส่วนข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการสมาคมกีฬาตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 56 (8)แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ โดยเสนอให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณาเพื่อมีมติแก้ไขข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ ต่อไป ทั้งนี้ ค่าตอบแทนดังกล่าวต้องไม่มีลักษณะเป็นค่าจ้างและไม่อาจจ่ายเงินโดยคิดคำนวณจากผลกำไรหรือรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการของสมาคมฯได้ เพราะเป็นการขัดต่อมาตรา 73 (5) แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯประกอบกับข้อ 86 แห่งข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ
สำหรับประเด็นปัญหาตามข้อหารือที่ว่า การที่สมาคมฯ นำรายได้ของสมาคมฯที่เกิดจากการบริหารสิทธิประโยชน์จากการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอลอาชีพมาแบ่งจ่ายเป็นเงินเดือนและค่าตอบแทนให้แก่นายกสมาคม อุปนายกสมาคม และกรรมการของสมาคมฯ ขัดต่อมาตรา 73(5) แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ หรือไม่ นั้น
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) เห็นว่า ในชั้นนี้ข้อเท็จจริงที่ได้จากเอกสารและจากการชี้แจงของเจ้าหน้าที่ของ กกท. ไม่เพียงพอที่จะพิจารณาได้ว่า การดำเนินการของสมาคมดังกล่าวเป็นการหาผลกำไรหรือรายได้เพื่อมาแบ่งปันกันตามมาตรา 73 (5) แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ หรือไม่ เนื่องจากไม่ทราบว่าเงินที่สมาคมฯนำมาแบ่งจ่ายเป็นเงินเดือนและค่าตอบแทนให้แก่นายกสมาคม อุปนายกสมาคม และกรรมการของสมาคมฯนั้นเป็นเงินที่คิดคำนวณจากส่วนที่เป็นกำไรในการดำเนินการของสมาคมฯหรือไม่
อย่างไรก็ตามเมื่อสมาคมฯ เป็นสมาคมที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ จึงย่อมต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯรวมถึงข้อบังคับที่ออกตามพระราชบัญญัติฯ และข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมฯ ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการบริหารกิจการของสมาคมฯ
ดังนั้น กกท. โดยผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยในฐานะนายทะเบียนกลางซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการดูแลกำกับการดำเนินการของสมาคมกีฬาย่อมสามารถใช้อำนาจตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ ออกคำสั่งเป็นหนังสือให้กรรมการของสมาคมขี้แจงข้อเท็จจริงหรือให้ส่งเอกสารเพิ่มเติม
โดยอำนาจนี้ย่อมครอบคลุมไปถึงการรายงานฐานะทางการเงินของบริษัท ไทยลีก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทบริหารการจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพที่สมาคมฯ ถือหุ้นถึงร้อยละ 99.98 และดำเนินการภายใต้ขอบวัตถุประสงค์ของสมาคมฯ มาเพื่อประกอบการพิจารณาได้
และเมื่อ กกท. ได้รับทราบข้อเท็จจริงพร้อมทั้งเอกสารต่าง ๆ อย่างครบถ้วนแล้ว หากได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการของสมาคมฯไม่เป็นตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง นายทะเบียนสามารถใช้อำนาจตามที่ บัญญัติไว้ในส่วนที่ 4 การกำกับดูแลสมาคมกีฬาแห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยฯ เพื่อพิจารณาสั่งการให้สมาคมฯ ดำเนินการให้เป็นไปโดยถูกต้องต่อไปได้โดยไม่จำต้องหารืออีก
สำหรับกรณีนี้ กระบวนการต่อไป กกท. เตรียมเชิญสมาคมฟุตบอลไทย เข้ามาชี้แจงว่า มีการรับเงินเดือน รับค่าจ้าง ตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่
ถ้าจริง ต้องคืนเงินเดือนดังกล่าวทั้งหมด ให้กับสมาคมฯ
หรือหากมีการคืนให้สมาคมฯ แล้ว ครบถ้วนหรือไม่ รายละเอียดเป็นอย่างไร
ประเด็นนี้ มีอะไรซ่อนอยู่ในก่อไผ่มากกว่านี้หรือไม่
ต้องติดตามดูกันต่อไป แบบห้ามกระพริบตาโดยเด็ดขาด
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/