"...ก่อนหน้านี้หากใครยังจำกันได้ สมัยที่นายประยุทธ ดำรงตำแหน่ง ส.ว. เมื่อปี 2540 เคยถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดกรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จมาแล้ว และศาลรัฐธรรมนูญ (มีอำนาจในการวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ขณะนั้น) มีคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2544 ยืนยันว่านายประยุทธ ยื่นบัญชีทรัพย์สินฯอันเป็นเท็จ และสั่งห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี มาแล้ว..."
ชื่อของ "ประยุทธ มหากิจศิริ" นักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของอาณาจักรโรงงานผลิต "เนสกาแฟ" กลับมาได้รับความสนใจจากสาธารณชนอีกครั้ง
หลังจากช่วงต้นเดือน ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดใน 2 สำนวน คือ กรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบในพื้นที่ จ.กระบี่ รวม 66 ไร่เศษ และพื้นที่ จ.นครราชสีมา ในสนามกอล์ฟ เมาท์เท่น ครีกฯ กว่า 189 ไร่เศษ
- ป.ป.ช.ชี้มูล จนท.ที่ดินกระบี่-พวก18 ราย ออกเอกสารสิทธิ์เอื้อธุรกิจ 'ประยุทธ มหากิจศิริ'
- ป.ป.ช. ชี้มูล 'ประยุทธ มหากิจศิริ' พร้อม จนท.รังวัด ร่วมกันออกที่สนามกอล์ฟทับป่าสงวน
- ‘เมาท์เท่น ครีกฯ’ธุรกิจสนามกอล์ฟ‘ประยุทธ’ ก่อนถูกชี้มูลร่วม จนท.รัฐออกโฉนดมิชอบ?
อย่างไรก็ดี นายประยุทธ และครอบครัว ‘มหากิจศิริ’ ออกแถลงการณ์ชี้แจงภายหลังถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด 2 สำนวนดังกล่าว โดยยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองและครอบครัว ไม่ได้มีการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐให้กระทำผิดกฎหมาย และพร้อมไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในชั้นศาลต่อไป
โดยกรณีที่ดิน อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา บริษัทฯมีการคืนที่ดินตามที่อธิบดีกรมที่ดินแจ้งว่า มีบางส่วนไม่ถูกต้องอันเกิดจากความผิดพลาดในการรังวัดของเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินนั้น กลับคืนเป็นที่ดินของรัฐหมดแล้ว
ส่วนที่ดิน จ.กระบี่ ซื้อมาโดยชอบด้วยกฎหมาย จากอดีตข้าราชการอัยการรายหนึ่ง โดยเป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิ์เป็น น.ส.3 ก. แล้ว ต่อมามีการรังวัดขอออกเป็นโฉนดที่ดิน มีการยื่นคำร้องขอออกโฉนดตามระเบียบและกฎหมายที่ดิน มีการรังวัดออกโฉนดถูกต้อง มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐแต่อย่างใดทั้งสิ้น และที่ดินดังกล่าวซื้อมาตั้งแต่ปี 2544 ยังมิได้นำที่ดินมาใช้พัฒนาหรือใช้ประโยชน์ทางธุรกิจแต่อย่างใด ยังคงเป็นที่ดินเปล่า ให้คนเฝ้าดูแลที่ดินไว้เท่านั้น หากอธิบดีกรมที่ดินเห็นว่าไม่ถูกต้อง ยินดีเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ
สำหรับข้อเท็จจริง 2 คดีข้างต้น คงต้องรอดูกันต่อไปในชั้นอัยการ และชั้นศาล
แต่คดีดังกล่าวมิใช่คดีแรกของนายประยุทธ
เพราะก่อนหน้านี้หากใครยังจำกันได้ สมัยที่นายประยุทธ ดำรงตำแหน่ง ส.ว. เมื่อปี 2540 เคยถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดกรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จมาแล้ว และศาลรัฐธรรมนูญ (มีอำนาจในการวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ขณะนั้น) มีคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2544 ยืนยันว่านายประยุทธ ยื่นบัญชีทรัพย์สินฯอันเป็นเท็จ และสั่งห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี มาแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สรุปข้อเท็จจริงมาให้รับทราบ ดังนี้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายประยุทธ กรณีจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ประกอบด้วย
1.ทรัพย์สินของนายประยุทธ ประกอบด้วย เงินฝาก 9 บัญชี และตั๋วสัญญาใช้เงิน 1 ฉบับ รวมเป็นเงิน 26,885,240 บาท ที่ดิน 9 แปลง รวมเนื้อที่ 71 ไร่ 10 ตารางวาเศษ และรถยนต์ 3 คัน
2.ทรัพย์สินของคู่สมรส ประกอบด้วยเงินฝาก 23 บัญชี และตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 390,358,575 บาท ที่ดิน 21 แปลง รวมเนื้อที่ 172 ไร่ 1 งาน 85 ตารางวา และบ้านพักอาศัย 1 หลัง
3.ทรัพย์สินของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (ขณะนั้น) ประกอบด้วย เงินฝาก 1 บัญชี จำนวนเงิน 200,584 บาท และที่ดิน 2 แปลง รวมเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 56 ตารางวา
นายประยุทธ ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อ ป.ป.ช. สรุปได้ว่า บัญชีเงินฝากของตนและตั๋วสัญญาใช้เงิน รวม 10 รายการ มีไว้เพื่อใช้หมุนเวียนธุรกิจ และไม่ได้เก็บบัญชีไว้ที่ตัวเอง บัญชีไม่มีความเคลื่อนไหว ทำให้ไม่ทราบยอดเงินคงเหลือในบัญชี ขณะกรอกบัญชีทรัพย์สินฯ จึงแสดงแต่ยอดในบัญชีเงินฝากเท่าที่จำได้ และเป็นบัญชีที่ใช้หมุนเวียนในธุรกิจปกติ
ส่วนบัญชีเงินฝากของคู่สมรสนั้น คู่สมรสไม่ได้แจ้งให้ตนทราบถึงเงินฝากดังกล่าว เพราะคู่สมรสมีธุรกิจของตัวเอง มีบัญชีเงินฝากไว้เพื่อใช้ในธุรกิจตามปกติ และเก็บเงินบางส่วนเป็นส่วนตัว ส่วนบัญชีเงินฝากของบุตร คู่สมรสเป็นคนเปิดบัญชีให้ และไม่ได้แจ้งให้ทราบ
กรณีที่ดิน 9 แปลง เป็นที่ดินได้มาก่อนจะดำรงตำแหน่ง ส.ว. และคู่สมรสเป็นคนดำเนินการ เก็บเอกสารสิทธิไว้หลายแห่ง จำไม่ได้ว่ามีที่ดินดังกล่าว ในขณะที่รวบรวมทรัพย์สินเพื่อแจ้งในบัญชีทรัพย์สินฯ ไม่พบเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าว จึงทำให้ยื่นขาดไป
@ ประยุทธ มหากิจศิริ/ภาพจากไทยโพสต์
ส่วนกรณีที่ดินคู่สมรสและบุตร คู่สมรสเป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินเองทั้งสิ้น ทำให้ไม่ทราบว่าคู่สมรส และบุตรมีที่ดิน และเห็นว่าทรัพย์สินของคู่สมรสและบุตร มิได้ได้มาเนื่องจากการดำรงตำแหน่ง ส.ว. จึงไม่ได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินฯ
ขณะที่รถยนต์ของตนทั้ง 3 คัน เป็นรถยนต์เก่าที่ใช้ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ ปัจจุบันไม่ได้ใช้ แต่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น จึงลืมแจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินฯ ส่วนกรณีบ้านพักของคู่สมรส ถูกใช้เป็นที่ตั้งของบริษัทที่ทำงานคู่สมรส ไม่ใช่บ้านพัก และคู่สมรสมิได้พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น เป็นการกรอกรายการผิดพลาด ความจริงคู่สมรสพักอยู่บ้านแห่งหนึ่งแถว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า คำชี้แจงของนายประยุทธในส่วนของรายการเงินฝาก ที่ดินของบุตร บ้านพักอาศัย และยานพาหนะของนายประยุทธ มีเหตุผลรับฟังได้ แต่รายการเงินฝากของนายประยุทธ 9 บัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน 1 ฉบับ นั้น มิใช่เงินจำนวนเล็กน้อย แต่เป็นเงินหลักสิบล้านบาท นอกจากนี้บัญชีเงินฝากที่พบเพิ่มเติม เป็นบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน 4 บัญชี ในการประกอบธุรกิจตามปกติของนักธุรกิจ จะต้องสั่งจ่ายเช็คเบิกถอนเงินจากบัญชีกระแสรายวันเหล่านี้อยู่เสมอ ย่อมต้องทราบดีว่า มีบัญชีเงินฝากอื่น ๆ นอกเหนือจากที่แสดงรายการไว้ ดังนั้นหากมีความตั้งใจจะแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินโดยถูกต้องตามที่มีอยู่จริงแล้ว คงจะตรวจไม่พบรายการในบัญชีเงินฝากเพิ่มมากขึ้นเช่นนี้
เงินฝากของคู่สมรส 23 บัญชี และตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับ บัญชีเงินฝากและจำนวนเงินที่ตรวจพบเพิ่มเติมมีจำนวนมากกว่าที่แสดงไว้อย่างเห็นได้ชัดถึงความแตกต่าง และเป็นเงินหลักร้อยล้านบาท คำชี้แจงที่ว่า มีบัญชีเงินฝากไว้ทำธุรกิจตามปกติ และเป็นเงินส่วนตัวโดยไม่แจ้งให้ทราบนั้น เป็นการยากที่วิญญูชนโดยทั่วไปจะเชื่อว่า บุคคลที่เป็นนักธุรกิจเช่นเดียวกับนายประยุทธ ไม่ทราบบัญชีเงินฝากและจำนวนเงินของคู่สมรส ซึ่งมีจำนวนเกือบ 400 ล้านบาท คำชี้แจงดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้
ที่ดินนายประยุทธ 9 แปลง นายประยุทธทราบดีว่ามีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์อีกหลายแปลง หากพยายามจะแสดงรายการที่ดินเหล่านี้ในการยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ จะสามารถดำเนินการตรวจสอบและรวบรวมได้ไม่ยาก ดังนั้นการที่มิได้แสดงรายการที่ดินของตน ทั้ง ๆ ที่ทราบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นการจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินฯด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ
ที่ดินคู่สมรส 21 แปลง จำนวนที่ดินที่ตรวจสอบพบเพิ่มเติม มีมากกว่าที่คู่สมรสแสดงไว้เป็นจำนวนมาก ไม่น่าเชื่อว่า นายประยุทธไม่ทราบว่าคู่สมรสมีที่ดินมากดังที่ตรวจพบเพิ่มเติม คำชี้แจงที่อ้างว่า คู่สมรสเก็บเอกสารสิทธิที่ดินไว้ จึงจำไม่ได้ว่ามีที่ดินทั้งสิ้นเท่าใดนั้น รับฟังไม่ได้ เพราะนายประยุทธสามารถตรวจสอบเอกสารเพื่อนำมาแสดงรายการที่ดินให้ถูกต้องตามที่มีอยู่จริงได้ แต่ไม่ดำเนินการ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในคราวประชุมครั้งที่ 90/2543 มีมติเป็นเอกฉันท์ 8 ต่อ 0 เสียง (นายประสิทธิ์ ดำรงชัย กรรมการ ป.ป.ช. มิได้เข้าร่วมประชุม) ชี้มูลความผิดนายประยุทธ กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ
โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในส่วนของบัญชีเงินฝากและตั๋วสัญญาใช้เงินของนายประยุทธนั้น เจ้าตัวย่อมรู้ว่ามีทรัพย์สินดังกล่าว แต่ไม่ได้แสดงรายการทรัพย์สินเหล่านั้นไว้ในบัญชีทรัพย์สินฯ จึงฟังได้ว่านายประยุทธ จงใจไม่แสดงรายการทรัพย์สินดังกล่าวต่อ ป.ป.ช.
ทั้งนี้ในการเบิกความพยานของนายประยุทธ มีนางสุวิมล มหากิจศิริ ภริยา เบิกความด้วยว่า “บัญชีของเขา เขาต้องรู้แน่นอน เพราะเขาเป็นคนฝาก” คำเบิกความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พยานซึ่งเป็นภริยา เชื่อว่าผู้ถูกร้องรู้ว่าตนมีเงินในบัญชีเงินฝากที่มีชื่อผู้ถูกร้องเป็นผู้ฝาก
ส่วนกรณีไม่แสดงรายการที่ดินของนายประยุทธ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่ดินทั้ง 9 แปลง เป็นกรรมสิทธิ์ของนายประยุทธ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าว แม้คู่สมรสจะเป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินมาตั้งแต่ต้น แต่การรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อขายที่ดิน ผู้โอนและผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จะต้องไปทำนิติกรรมและจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานทะเบียนที่ดิน ถ้าไม่อาจไปดำเนินการด้วยตนเองได้ จะต้องทำหนังสือรับมอบอำนาจให้ผู้แทนดำเนินการ กรณีเช่นนี้ นายประยุทธย่อมต้องรู้ว่า ตนเองมีที่ดินดังกล่าวแม้จะมิได้ไปทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ด้วยตัวเอง
ดังนั้นการที่อ้างว่า ไม่รู้ว่าตนเองเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวย่อมรับฟังไม่ได้ การที่นายประยุทธ ไม่แสดงรายการที่ดิน 9 แปลง จงใจไม่ยื่นแสดงรายการที่ดินดังกล่าวต่อ ป.ป.ช.
ส่วนที่ดินของคู่สมรสนั้น ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำเบิกความของนางสุวิมล คู่สมรสไม่ได้แจ้งบัญชีเงินฝากในชื่อคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่ได้บรรลุนิติภาวะในส่วนที่ไม่ได้แสดงบัญชีทรัพย์สินฯต่อ ป.ป.ช. ให้นายประยุทธทราบ นายประยุทธ จึงไม่ทราบว่ามีทรัพย์สินของคู่สมรสและบุตรนอกเหนือจากที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ด้วยเหตุนี้จึงฟังได้ว่า นายประยุทธ มิได้จงใจไม่ยื่นรายการทรัพย์สินดังกล่าว
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นจึงเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า นายประยุทธ จงใจไม่แสดงทรัพย์สินของตนที่มีอยู่ ณ วันที่ 7 พ.ย. 2540 (วันเข้าดำรงตำแหน่ง) ได้แก่ เงินฝากและตั๋วสัญญาใช้เงิน 26,885,240 บาท ที่ดินของนายประยุทธ 9 แปลง ฉะนั้นจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า นายประยุทธ จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินฯเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ และวินิจฉัยห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ เป็นเวลา 5 ปี
อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นบทบาทของนายประยุทธก็เงียบหายไป ทว่านายเฉลิมชัย มหากิจศิริ หรือ ‘ไฮโซกึ้ง’ บุตรชาย ยังดำรงตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในช่วงรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตรอยู่ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารในปี 2549 นายเฉลิมชัย เป็นหนึ่งในคณะทำงานของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2551
แต่บทบาทของนายประยุทธ มหากิจศิริ ก็เงียบหายไปอีกครั้งเมื่อเกิดการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557 กระทั่งปี 2561 ปรากฏว่า นายประยุทธ มหากิจศิริ เป็นหนึ่งในผู้บริจาคเงินรายใหญ่ให้แก่พรรคพลังประชารัฐ จำนวน 10 ล้านบาท
ทั้งหมดคือ "วิบากกรรม" ของนายประยุทธ ก่อนที่จะถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดอีกครั้ง 2 สำนวน ประเด็นกล่าวหาว่าสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐ ออกเอกสารสิทธิมิชอบ
ขณะที่การถูกชี้มูลของ ป.ป.ช. เป็นเพียงกระบวนการชั้นต้นเท่านั้น ยังมีการต่อสู้คดีในชั้นอัยการ และชั้นศาลอีกจึงยังถือว่าผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าวทุกรายเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
หมายเหตุ : ภาพประกอบเรื่องจาก https://forbesthailand.com/
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage