"..การลงทุนในเด็กปฐมวัย เปรียบเสมือนการสร้างเสาเข็มของบ้าน' เพราะการส่งเสริมพัฒนา EF ด้านเดียว เป็นเหมือนการแก้ปัญหาที่ต้นต่อ ก่อนที่จะมีปัญหาด้านอื่นๆ ตามมา เช่น เมื่อปลูกผังพัฒนาการ EF ในช่วยปฐมวัย ในอีก 5 ปี เด็กติดเกมน้อยลง อีก 10 ปีถัดไปเด็กจะติดยาน้อยลง ถือว่าเป็นทางลัดสำคัญที่การศึกษาไทยจะต้องเอามาพิจารณาอย่างเร่งด่วน ถ้าหากทิ้งโอกาสการพัฒนา EF ในช่วงปฐมวัยไป ประเทศไทยจะพลิกฟื้น สถานการณ์โควิดได้ยาก.."
----------------------------------------------------------
เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) จัดการประชุมวิชาการสภาการศึกษาเสวนา (OEC Forum) ครั้งที่ 4/2564 โดย ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) กล่าวว่า แม้จะยากลำบากในสถานการณ์โควิด แต่ก็ยังเป็นความท้าทายจากการเรียนการสอนออนไลน์ อีกทั้งครูยังเป็นปัจจัยสำคัญต้องปรับบทบาทหน้าที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดความราบรื่นและไม่ขาดตอนในการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 และมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ 2561 จากความร่วมมือทั้งหมดนี้นำไปสู่การจัดทำนโยบายพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย สกศ. ขับเคลื่อนส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยจัดทำแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564-2570 ที่มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ตลอดช่วงชีวิต เชื่อมั่นว่าทิศทางการพัฒนาเด็กปฐมวัยปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีมาก อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่
สำหรับการพัฒนาเด็กเล็ก หรือ ปฐมวัย ไม่ได้มีแค่พัฒนาการ 4 ด้าน สังคม อารมณ์ จิตใจ สติปัญญา เพียงเท่านั้น แต่ยังต้องพัฒนาทักษะการบริหารจัดการตนเองขั้นสูง หรือ EF : Executive Function เป็นกระบวนการทางความคิดระดับสูงของสมองส่วนหน้าที่มีความเกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก และการกระทำของเด็กเล็ก นำไปสู่การวางรากฐานเด็กที่มีคุณภาพในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดการบูรณาการร่วมกับแผนการขับเคลื่อนเด็กปฐมวัยต่อเนื่องกันทุกกระทรวง
ที่ผ่านมานักวิชาการด้านพัฒนาปฐมวัย ได้สังเคราะห์ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายขับเคลื่อนเพื่อสร้างระบบนิเวศน์ (Ecosystem) เพื่อพัฒนาสมองและทักษะเด็กปฐมวัยจนเห็นผลสัมฤทธิ์ที่ดี ผ่าน 6 ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน 'สมองดีมี EF' ประกอบด้วย
1.จัดการความรู้จากองค์ความรู้ในงานวิจัย EF นำมาจัดการความรู้และแปลงสารให้ง่าย สอดคล้องกับบริบทไทยและนำไปสู่การปฏิบัติที่เห็นผลได้
2.พัฒนาเครื่องมือพร้อมใช้หลากหลายวิธีสำหรับพ่อแม่และครูปฐมวัย เช่น ๗ วิธีพัฒนาลูกสมวัย สมองดีมี EF
3.สร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลง ทั้งในครอบครัวและชุมชน เช่น พ่อแม่ ครู อาจารย์ อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ที่มีความรู้ความเข้าใจใน EF สามารถนำเอาความรู้นี้ไปใช้เผยแพร่ ถ่ายทอดอย่างทั่วถึง
4.สร้างพื้นที่ต้นแบบ เพื่อเป็นพื้นที่นำร่องการส่งเสริม EF แบบบูรณาการ
5.สร้างภาคีเครือข่าย Thailand EF Partnership จับมือทุกหน่วยงาน องค์กร เข้ามาร่วมเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่อง
6.สร้างการสื่อสาร เพื่อกระจายความรู้และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ออกไปให้กว้างขวางสู่สาธารณชนผ่านแพตฟอร์มสื่อดิจิทัลที่มีความหลากหลาย เช่น Social media สื่อมวลชนต่าง ๆ ทั่งระดับชาติและท้องถิ่น
รากฐานการปฏิรูปการศึกษา จำเป็นต้องเริ่มที่การพัฒนาเด็กปฐมวัย ดังนั้น สภาพแวดล้อมสำคัญที่จะทำหน้าที่ดูแล พัฒนา บ่มเพาะ ปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทั้งปวงแก่เด็กปฐมวัย และเด็กปฐมวัยที่ได้รับการพัฒนาอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติของสมอง จะมีคุณลักษณะพร้อมเป็นพลเมืองคุณภาพของชาติได้ในอนาคต นโยบายด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มีการบรรจุวาระการพัฒนาทักษะสมอง EF ไว้แล้ว
ทั้งนี้ ยังมีความพยายามในการก้าวข้ามข้อจำกัดทางด้านการศึกษาต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท้องถิ่นและชุมชนในการจัดการศึกษาด้วยตัวเอง พร้อมทั้งตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้าตั้งแต่ปฐมวัย และร่วมกันนำแนวทางการส่งเสริมทักษะสมอง EF ไปใช้ในการพัฒนาเด็กในชุมชนของต้นอย่างจริงจัง เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและพัฒนาเด็กไทยสู่ศตวรรษที่ 21 และบูรณาการในแผนการพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างต่อเนื่อง
ในการประชุมเสวนา ประเด็น ‘EF กับเด็กปฐมวัยในยุคดิจิทัล’ นำโดย นางสุภาวดี หาญเมธี กับ นางธิดา พิทักษ์สินสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเด็กปฐมวัย พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง จิตใจ และความสัมพันธ์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ปรากฎสาระสำคัญ ดังนี้
@ โลกผันผวน ส่งผลเด็กเครียด
ข้อมูลจากงานวิจัยขององค์กรทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) พบว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในปัจจุบัน แม้เด็กจะอยู่ที่บ้านไม่ต้องไปโรงเรียน แต่ก็มีภาวะความเครียดรอบตัว ทั้งจากพ่อแม่ที่ดิ้นรนหารายได้เพิ่ม รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง และยังเสี่ยงต่อการขาดตอนการเรียนรู้ไปพักใหญ่ เรียกได้ว่าโลกตกอยู่ในสถานการณ์ VUCA ที่เกิดความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ ในขณะที่การพัฒนาทักษะทางสังคมของไม่อาจหยุดยั้งได้
ที่ผ่านมาสถานการณ์ VUCA เช่น การเปลี่ยนแปลงของภาวะโลกร้อน หรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ อาจจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน จนเด็กรับรู้ได้ถึงผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงได้โดยตรง แต่ในปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ส่งผลกระทบกับเด็กอย่างเห็นได้ชัด เด็กรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ต่างจากเดิม เช่น ไม่สามารถไปโรงเรียน เล่นกับเพื่อนได้ ต้องเว้นระยะห่าง หรือใส่หน้ากากอนามัย เป็นต้น
คำว่า VUCA ถูกใช้ครั้งแรกใน U.S. Army War College มาจากนักศึกษาทหารได้ใช้คำย่อนี้ เพื่ออธิบายสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความผันผวน ยากจะคาดเดา มีความซับซ้อนสูง และคลุมเครือเกินกว่าจะอธิบายได้ ประกอบด้วย 4 คำ ดังนี้
V (Volatility) คือ ความผันผวน ยากจะคาดเดา เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันไม่ทันตั้งตัว
U (Uncertainty) คือ มีความไม่แน่นอนสูง ไม่ชัดเจน ยากจะอธิบาย
C (Complexity) คือ มีความซับซ้อนสูง มีปัจจัยมากมายที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ
A (Ambiguity) คือ มีความคลุมเครือ เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ยากจะคาดเดาผลลัพธ์ได้
สถานการณ์โลกขณะนี้ VUCA เสมือนภาวะพายุที่พัดโหมไม่รู้จักหยุด รวดเร็ว รุนแรง พลิกผวนกว่าที่คาดคิดชีวิตไม่สามารถคาดการณ์วางแผนหรือจัดการได้ดังที่เป็นมา คาดกันได้แต่ว่าอนาคตของโลกจะถูกพายุพัดโหมให้หมุนเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก อีกทั้ง เกิดการทำลายล้างของเทคโนโลยี (Technology Disruption) ในยุคที่มีโลกมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ จึงไม่เพียงแต่ต้องมีทักษะศตวรรษที่ 21 เท่านั้น แต่จะต้องมีคุณลักษณะสำคัญเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็น อึดฮึดสู้ ล้มแล้วลุกได้ จิตใจหนักแน่นสมดุล มองโลกแง่ดี EQ ดี มีความฉลาดทางอารมณ์ เรียนรู้ตลอดเวลาและสามารถปรับเปลี่ยนตนเองได้
@ เด็กพัฒนาการล่าช้า 1 ใน 3 ของประเทศ
ในประเทศไทยประสบปัญหาเด็กปฐมวัยมีพัฒนาการล่าช้าประมาณ 1 ใน 3 โดยเฉพาะด้านภาษา ช่วงอายุ 1-3 ปี มีพัฒนาการโดยรวมไม่สมวัย 25% ช่วงอายุ 4-5 ปี ไม่สมวัยถึง 42% และอาจส่งผลระยะยาวในอนาคตเมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้น เช่น มี IQ ต่ำ มีความเสี่ยงติดยาเสพติด รวมถึงการท้องก่อนวัยอันควร จากผลคะแนนในโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA) ประเมินการคิดวิเคราะห์ของเด็กวัย 15 ปีของนักเรียน 79 ประเทศทั่วโลก พบว่า สมรรถนะเด็กไทยตกลงไปเรื่อย ๆ โดยในปี 2561 ด้านการอ่านของเด็กไทยตกไปอยู่ที่อันดับ 68 ด้านคณิตศาสตร์ อันดับที่ 59 และด้านวิทยาศาสตร์ อันดับที่ 55
รายงานธนาคารโลก ชี้ว่าเด็กไทยมีอัตราการขาดเรียนสูง ไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน จากสถิติต่าง ๆ ข้างต้นดังกล่าวสะท้อนได้ว่าเด็กไทยในวัยต่าง ๆ จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงว่า เด็กจะสามารถเติบโตขึ้นไปดูแลรับผิดชอบชีวิตตนเอง ไม่เป็นภาระของสังคมได้อย่างไร
สำหรับปัญหาที่ทำให้ 1 ใน 3 ของประชากร ไม่สามารถพัฒนาเป็นพลเมืองคุณณภาพได้ เนื่องจากเด็กไทยส่วนใหญ่ขาดสมรรถนธในการคิดวิเคราะห์และกำกับดูแล และปัจจัยอื่นๆ เช่น ครอบครัวอ่อนแอ หย่าร้าง แหว่งกลาง ค่านิยมผิดในการเลี้่ยงลูก ขาดความรูู้ทักษาะ และใช้มือถือเลี้ยงลูก ปัจจัยด้านการศึกษา รับค่านิยมผิด มุ่งเน้นตัวชี้วัดแข่งขัน ทำให้เด็กขาดความสุข ไม่สอดคล้องกับสมองและครูไม่เข้าใจ ส่วนปัจจัยด้านชุมชน สังคม เนื่องจากขาดความรู้ความตระหนักความสำคัญของปฐมวัย และเทคโนโลยีปฐมวัย
@ สมองส่วนหน้า พัฒนาได้สูงสุดช่วง 0-6 ปี
รายงานวิจัยต่างประเทศ ระบุว่า ทักษะสมองส่วนหน้าเป็นส่วนสำคัญในการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จสามารถพัฒนาได้ดีที่สุดในช่วงปฐมวัย อายุ 0-6 ปี หลังจากนั้นการพัฒนาจะเริ่มลดลง ดังนั้น ในช่วงปฐมวัยจึงเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก ช่วงอายุที่พ่อแม่และครูต้องใส่ใจ ให้ความสำคัญในการฝึกฝน และปลูกฝังเด็กเพื่อเสริมสร้างทักษะ EF เพื่อให้ได้มาซึ่งการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพต่อสังคม ยิ่งต้นทุนทักษะสมอง EF สูงเท่าไรจะเปิดหน้าต่างแห่งโอกาสที่เด็กจะสามารถคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ และควบคุมอารมณ์ได้ดีตั้งแต่เล็ก ๆ จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ต่อยอดการใช้ชีวิตที่ดีและเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
ดังคำกล่าวว่า 'การลงทุนในเด็กปฐมวัย เปรียบเสมือนการสร้างเสาเข็มของบ้าน' เพราะการส่งเสริมพัฒนา EF ด้านเดียว เป็นเหมือนการแก้ปัญหาที่ต้นต่อ ก่อนที่จะมีปัญหาด้านอื่นๆ ตามมา เช่น เมื่อปลูกผังพัฒนาการ EF ในช่วยปฐมวัย ในอีก 5 ปี เด็กติดเกมน้อยลง อีก 10 ปีถัดไปเด็กจะติดยาน้อยลง ถือว่าเป็นทางลัดสำคัญที่การศึกษาไทยจะต้องเอามาพิจารณาอย่างเร่งด่วน ถ้าหากทิ้งโอกาสการพัฒนา EF ในช่วงปฐมวัยไป ประเทศไทยจะพลิกฟื้นสถานการณ์โควิดได้ยาก
@ สันดานดีที่จะติดตัวตลอดไป ต้องเริ่มปลูกฝังแต่เด็ก
หากนิยาม EF ให้เข้าใจได้ง่าย คือ 'สันดานดีที่สร้างสรรค์' หากปลูกฝังไว้ในตัวเด็กตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว จะเป็นอุปนิสัยหรือสันดานที่ดีของเด็กคนนั้นตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทำความเข้าใจ 3 กลุ่มทักษะ ที่แยกออกเป็น 9 ด้านของทักษะ EF หรือ การคิดเชิงบริหารและจัดการชีวิต จะเห็นได้ชัดเจนว่า มนุษย์เราทุกคนใช้ทักษะสมอง EF ในชีวิตอยู่ตลอดเวลา เป็นทักษะในการดำเนินชีวิตให้เป็นปกติ ใช้ในการตัดสินใจเพื่อจัดการกับปัญหาหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วแก้ไขให้ลุล่วง ทำให้ชีวิตเดินหน้าไปได้ และเป็นทักษะที่ใช้ในการจัดการกับการเรียนรู้ เมื่อพบกับประสบการณ์ใหม่ๆ และใช้ในการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าแก่ตนเองและต่อสังคมปรับปรุงจากสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น
สิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูปฐมวัย ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจความรู้ฐานราใน 3 มิติ เพื่อการพัฒนาเด็ก ประกอบด้วย 1.พัฒนาการด้านตัวตน 2.พัฒนาการด้านทักษะสมอง EF และ 3.พัฒนาการ 4 ด้าน ประกอบด้วย ร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญา
หากสามารถส่งเสริมพร้อมกันไปอย่างบูรณาการได้ในทุกสถานการณ์ในชีวิตประจำวันไม่ใช่เร่งเพื่อพัฒนาเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น เปรียบเสมือนสวมแว่นตาที่มีเลนส์ชัดขึ้น ก็จะเห็นทั้งมิติตัวตน มิติ EF และมิติพัฒนาการด้านร่างกาย หรืออารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญา ได้ในคราวเดียวกัน โดยสามารถสร้างโอกาสผ่านกระบวนการสำคัญ 7 วิธีพัฒนาลูกสมวัย ได้แก่ กิน นอน กอด เล่น เล่า ช่วยเหลือตนเอง และงานบ้าน
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage