"...ผลวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการใส่หน้ากากในสถานที่ปิด เพื่อลดการแพร่เชื้อ ซึ่งนักวิจัยยังคงให้ความมั่นใจมาตลอดว่าวัคซีนนั้นมีศักยภาพในการป้องกันการเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงได้ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้านั้นถือว่าเป็นข้อบ่งชี้แล้วว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนยังคงที่จะต้องระมัดระวังตัวอย่างเคร่งครัด..."
.............
ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ประเทศไทย ณ เวลานี้ ที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายหมื่นราย โดยในกลุ่มผู้ติดเชื้อบางส่วน ก็เป็นผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วด้วย อันนำมาซึ่งข้อสังเกตถึงวัคซีนที่ได้รับฉีดไปว่า มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
ล่าสุด สำนักข่าว Nature ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่รายงานข่าวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่ข้อมูบที่น่าสนใจเกี่ยวกับบริบทของการติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะกับสายพันธุ์เดลต้าในกลุ่มประชากรที่ได้รับวัคซีน
มีรายละเอียดสำคัญดังต่อไปนี้
ที่ผ่านมามีข้อมูลภาคสนามเบื้องต้นระบุว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วสามารถลดการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ได้ ซึ่งนักวิจัยได้วิเคราะห์ว่านี่อาจจะเป็นข่าวดี แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีคำเตือนออกมาว่ายังคงต้องมีการศึกษาในข้อมูลเชิงลึกให้มากกว่านี้เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนกับการป้องกันการติดเชื้อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากผลการศึกษาภาคสนามดังกล่าวปรากฏออกมา ก็เกิดเหตุการณ์การกลายพันธุ์ของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า ที่ ณ เวลานี้กลายเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์หลักในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากไวรัสสายพันธุ์นี้ สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วกลับมาติดเชื้อซ้ำได้อีกครั้ง
จากข้อมูลการตรวจไวรัสโควิด-19 ที่พบทั้งในสหรัฐอเมริกา,สหราชอาณาจักรและสิงคโปร์ พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วนั้นสามารถติดเชื้อซ้ำได้ และยังพบจำนวนเชื้อไวรัสในโพรงจมูกเทียบเท่ากับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนมาก่อนด้วย
นี่จึงหมายความว่าแม้ว่าวัคซีนจะมอบภูมิคุ้มกันให้กับผู้ที่ได้รับการฉีดก็ตาม แต่สัดส่วนของคนที่ฉีดวัคซีนที่จะสามารถส่งต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าไปยังผู้อื่นนั้น ก็จะมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ผู้ที่มีเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า จะมีการติดเชื้อแบบก้าวหน้า ซึ่งสามารถเป็นพาหะของเชื้อไวรัสในจำนวนที่สูงมาก และบุคคลเหล่านี้ก็จะแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัวไปยังคนอื่น ๆ ” นายเดวิด โอคอนเนอร์ นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน/เมดิสันระบุ
นายโอคอนเนอร์ ยังกล่าวด้วยว่า ผลวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการใส่หน้ากากในสถานที่ปิด เพื่อลดการแพร่เชื้อ ซึ่งนักวิจัยยังคงให้ความมั่นใจมาตลอดว่าวัคซีนนั้นมีศักยภาพในการป้องกันการเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงได้ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้านั้นถือว่าเป็นข้อบ่งชี้แล้วว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนยังคงที่จะต้องระมัดระวังตัวอย่างเคร่งครัด
@การทดสอบการติดต่อแพร่เชื้อ
นายโอคอนเนอร์และเพื่อนร่วมงานที่ศูนย์สาธารณสุขเมดิสันและเดนเคาน์ตี ได้มีการตรวจสอบข้อมูลการติดเชื้อในรัฐวิสคอนซินตั้งแต่เดือน มิ.ย.และเดือน ก.ค.
โดยทีมงานได้ตรวจหาเชื้อด้วยการใช้วิธีการตรวจแบบพีซีอาร์ เพื่อจะประมาณการณ์ความเข้มข้นของไวรัสที่พบในตัวอย่างน้ำมูก โดยการทดสอบจะตรวจจับสารพันธุกรรมของไวรัส ซึ่งจะมีการนำเอาแทงไปสวอปไปแยงเป็นรอบ ๆ ทำประมาณ 40 รอบ จนกว่าจะเจอสัญญาณที่เรืองแสงที่แสดงถึงดีเอ็นเอของไวรัส ซึ่งค่าที่ตรวจได้จะมีค่าเป็น Ct (Cycle threshold) ถ้าหากผลตรวจออกมาได้ค่า Ct น้อย แสดงว่ามีเชื้อไวรัสเยอะกว่า เพราะว่าตรวจแค่ไม่กี่รอบก็เจอสารพันธุกรรมไวรัสแล้วนั่นเอง
ไวรัสโควิดสายพันธุ์ต่างๆ (อ้างอิงวิดีโอจาก VOX)
ซึ่งผลการศึกษาที่มีการเผยแพร่บนเว็บไซต์ medRxiv เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นักวิจัยได้มีการเปรียบเทียบค่า Ct ของกลุ่มตัวอย่างของบุคคลจำนวน 719 ราย ระหว่างวันที่ 29 มิ.ย.-31 ก.ค. พบข้อมูลว่ามีตัวอย่างจำนวน 122 ชิ้น ที่เป็นสารพันธุกรรมของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า และในกลุ่มตัวอย่างนั้นพบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วจำนวน 311 คน กลับมาติดเชื้อโควิด-19 อีกครั้งหนึ่ง
โดยผลการค้นหาค่า Ct ในกลุ่มผู้ที่ฉีดวัคซีนซึ่งติดเชื้อดังกล่าวพบว่ามีค่า Ct ต่ำกว่า 25 ซึ่งเป็นระดับที่นักวิจัยได้กำหนดค่าเอาไว้ว่าเป็นผู้ที่ติดเชื้อ
นักวิจัยยังได้เก็บข้อมูลเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม โดยการเก็บตัวอย่างพันธุกรรมอีกจำนวน 55 ตัวอย่างที่มีค่า Ct ต่ำกว่า 25 จากกลุ่มที่ทั้งฉีดวัคซีนและไม่ฉีดวัคซีน ก็พบข้อมูลว่า ในกลุ่มนี้มีเชื้อไวรัสแทบทุกกลุ่มเท่ากันหมด และมีค่าCt ที่ต่ำกว่าที่กำหนดเอาไว้
“ข้อสรุปก็คือนี่เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ คนที่ฉีดวัคซีนนั้นสามารถจะแพร่กระจายไวรัสได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าบริบทของการกระจายไวรัสในชุมชนนั้นเป็นอย่างไร” นายโทมัส ฟรีดริช นักวิจัยอีกคนจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน/เมดิสันกล่าว
นอกจากนี้ ข้อมูลจากเมืองโพรวินซ์ทาวน์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ได้แสดงผลการศึกษาที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยการรายงานของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯหรือว่าซีดีซีเมื่อต้นเดือน ส.ค.ได้แสดงให้เห็นว่าการรวมกลุ่มกันของผู้คนจำนวนมากในพื้นที่เมืองชายหาด ทำให้เกิดกรณีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวน 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่จำนวนทั้งสิ้น 469 ราย ในรัฐแมสซาชูเซตส์
ซึ่งจากข้อมูลนั้นพบว่าทั้งผู้ที่ฉีดวัคซีนและผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนต่างก็มีค่า Ct ที่ต่ำด้วยกันทั้ง 2 กลุ่ม จึงเป็นข้อบ่งชี้ว่าในกลุ่มนี้ได้รับปริมาณไวรัสในจำนวนที่สูง และจากจำนวน 133 ตัวอย่างที่มีการตรวจสอบพันธุกรรมนั้นก็พบว่า 90 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งจากผลการตรวจสอบดังกล่าวทำให้ซีดีซีได้ออกมาตรการในวันที่ 27 ก.ค.
ระบุคำแนะนำว่าผู้ที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งมีอัตราการแพร่เชื้อในระดับสูงจะต้องใส่หน้ากากเมื่ออยู่ในสถานที่ปิด
ขณะที่นายฟรีดริช ระบุว่า กรณีการติดเชื้อที่เมืองโพรวินซ์ทาวน์นั้นเชื่อมโยงกับกิจกรรมการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ แต่ว่าในรัฐวิสคอนซินไม่มีกิจกรรมในลักษณะนี้ ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่าการรวมกลุ่มในครัวเรือนขนาดเล็ก คนไม่มาก ก็มีส่วนในการแพร่เชื้อได้
@ความแตกต่างในเชิงชีววิทยา
ที่เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส ทีมจากโรงพยาบาลฮิวสตันเมโทดิสต์ได้มีการลำดับพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ที่พบในระบบโรงพยาบาล พบว่ามีกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนซึ่งติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าจำนวน 17 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2564 หรือคิดเป็นจำนวนเกือบ 3 เท่าของการติดเชื้อแบบก้าวหน้าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ รวมกัน
โดยคนไข้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้านั้นยังต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่าคนที่ติดไวรัสโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ เล็กน้อย
“อาจมีประเด็นเรื่องของชีววิทยาของไวรัสที่มีความแตกต่างกัน ต่อการติดเชื้อ”นายเจมส์ มุสเซอร์ นักพยาธิวิทยาโมเลกุลและผู้อำนวยการ ศูนย์การวิจัยโรคติดเชื้อในมนุษย์ระดับโมเลกุลของโรงพยาบาลกล่าว
โดยทีมของพบข้อมูลว่าระดับ Ct ของผู้ที่ฉีดวัคซีนและไม่ได้ฉีดวัคซีนนั้นอยู่ในระดับที่คล้ายกัน
รูปแบบการแพร่เชื้อของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า (อ้างอิงวิดีโอจากสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นฟิลิปปินส์)
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วและติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้านั้นอาจจะมีช่วงเวลาที่ติดเชื้อสั้นกว่า
โดยข้อมูลจากนักวิจัยในประเทศสิงคโปร์ซึ่งติดตามจำนวนไวรัสในการติดเชื้อในแต่ละวันทั้งในกลุ่มประชากรที่ฉีดวัคซีนไปแล้วและยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
พบข้อมูลที่สำคัญว่าจำนวนไวรัสในทั้ง 2 กลุ่มนั้น มีจำนวนไวรัสสะสมที่ความคล้ายคลึงกันในช่วงสัปดาห์แรกของการติดเชื้อ แต่เมื่อ 7 วันผ่านไป จำนวนไวรัสจะลดลงอย่างรวดเร็วในกลุ่มคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว
“ด้วยข้อมูลของระดับไวรัสที่สูงซึ่งเห็นได้ในสัปดาห์แรกของการเจ็บป่วยด้วยไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า ดังนั้นมาตรการต่าง ๆ เช่นการใส่หน้ากากและการทำความสะอาดมือ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสามารถลดการแพร่เชื้อได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วหรือไม่ก็ตาม” นายบาร์นาบี ยัง แพทย์ด้านโรคติดเชื้อที่ศูนย์โรคติดเชื้อแห่งชาติสิงคโปร์กล่าว
ขณะที่ในสหราชอาณาจักร นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ที่ดำเนินโครงการ UK REACT-1 ซึ่งเป็นโครงการที่เก็บตัวอย่างจากอาสาสมัครในสหราชอาณาจักรจำนวน 1 แสนคน ได้ให้ข้อมูลว่าจากการวิเคราะห์ค่า Ct ที่รับมาตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค., มิ.ย. และเดือน ก.ค. ในช่วงเวลาที่ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าเริ่มจะเข้ามาเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศ
พบข้อมูลว่าในกลุ่มผู้ติดเชื้อ ถ้าหากเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วจะมีจำนวนปริมาณไวรัสต่ำกว่าโดยเฉลี่ย ถ้าหากเทียบกับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
โดยนายพอล เอลเลียต นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน กล่าวว่า ผลการสำรวจดังกล่าวนั้นอาจจะมีความแตกต่างจากการตรวจสอบค่า Ct ในที่อื่น ๆ เพราะการสำรวจนี้เป็นการสำรวจแบบสุ่มซึ่งรวมไปถึงผู้ที่มีผลโควิดเป็นบวก แต่ไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ด้วย
นายเอลเลียต ยังระบุด้วยว่า ผลสำรวจดังกล่าวนี้ ควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้ออายุน้อยที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนจำนวน 2 โดสด้วย เมื่อต้องเผชิญกับการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าเป็นข้อบ่งชี้ว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องมีการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 โดส โดยเฉพาะกับในกลุ่มประชากรที่มีอายุน้อยโดยเร็วที่สุด
เรียบเรียงจาก:https://www.nature.com/articles/d41586-021-02187-1
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage